Tuesday, August 11, 2015

วิธีแก้ไขปัญหา หน้ามันเยิ้ม

เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม

*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*

เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง

*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*

รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง

*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*

1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก
2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย
3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น

ชา ดื่มดีๆ มีประโยชน์    

ชาร้อนกลายเป็นกระแสเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมคู่ไปกับกาแฟ ซึ่งเปิดให้บริการทั่วทุกหัวมุมถนน ตามปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ยิ่งเป็นชาเขียวด้วยแล้ว Ra Ka Cl Tr Bu ไม่เฉพาะกลิ่นหอมที่ชวนหลงใหล แต่ยังมีข้อมูลด้านสุขภาพ ที่พบว่า ในชาเขียวมี คาเทซิน โพลีฟีนอล อยู่ปริมาณสูงมาก

คาเทซิน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เลยเชื่อกันว่าดื่มชาเขียวแล้วร่างกายจะแข็งแรง และลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

กระนั้น มีข้อมูลอีกเช่นกันที่ระบุว่า จะต้องดื่มกันเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ใช่แค่กินไอศกรีม คุกกี้ หรือเค้กชาเขียวแล้วจะสุขภาพดี ส่วนจะต้องดื่มชาเขียววันละกี่ถ้วยจึงจะมีประโยชน์ ข้อนี้ไม่มีใครบอกได้แน่นอน
ชาเขียวและชาทั่วไป มีข้อควรระวังในการดื่มด้วยเช่นกัน

• ชาไม่เหมาะกับผู้ป่วยไทรอยด์ ซึ่งอาการกระสับกระส่ายจะยิ่งถูกาเฟอีนในชากระตุ้นให้รุนแรงขึ้น
• หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน ชาก็เป็นหนึ่งในนั้น
• คนที่หัวใจทำงานไม่ปกติ กาเฟอีนในชาคงไม่เหมาะสม แทนนินในน้ำชาจะออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะไม่ควรดื่ม แต่หากอดไม่ได้ อาจเติมนมในชาเพื่อยับยั้งการออกฤทธิ์ของแทนนิน
• ชาที่เข้มข้น อาจทำให้ท้องผูกหรือนอนไม่หลับ
• การดื่มชาเขียวใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์จากชาอย่างเต็มที่
• ชาที่ร้อนเกินไปจะสร้างความระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารอาจเสี่ยงต่อมะเร็ง

อาหารกระป๋อง สะดวกจริงแต่ต้องระวัง

หลายๆบ้านนิยมซื้ออาหารกระป๋องเก็บไว้ นัยว่าสะดวกต่อการรับประทานและสามารถเก็บไว้ได้นาน ไม่ว่าจะเป็น ทูน่ากระป๋อง ผักกาดดอง หรือแม้แต่อาการจำพวกแกงต่างๆ

แต่การเลือกซื้ออาหารกระป๋องนั้น ถือเป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจแม้แต่ในเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่น ควรเลือกซื้ออาหารกระป๋องของผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ลักษณะกระป๋องต้องอยู่ในสภาพที่ดี ไม่บุบ บวม รั่วซึม อย่าซื้ออาหารกระป๋องที่ฉลากไม่ถูกต้อง ไม่มีวันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ

เพราะหากซื้ออาหารกระป๋องเพียงเพราะราคาถูก อาจจะได้รับอันตรายจากอาหารกระป๋องที่ผลิตขึ้นโดยไม่ถูกสุขลักษณะได้ โดยเฉพาะอาหารกระป๋องที่มีสภาพความเป็นกรดต่ำ เช่น พวกเนื้อสัตว์ อาหารทะเล อาจมีบักเตรี พวกคลอสตริเดียม โบตูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งจะสร้างสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการกลืนอาหารลำบาก ม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็ว ระบบหายใจเป็นอัมพาตถึงเสียชีวิตได้

นอกจากนี้ เมื่อเปิดฝาแล้วควรสังเกตลักษณะภายในด้วยว่ามีกลิ่น สี หรือลักษณะของอาหารผิดปกติหรือไม่ ถ้าเป็นพวกอาหารคาว ควรถ่ายใส่ภาชนะหุงต้มแล้วอุ่นให้เดือดสัก 15 นาที ก่อนนำมารับประทาน หรือถ้าเปิดฝาแล้วกินไม่หมดก็ไม่ควรเก็บไว้ในกระป๋อง แต่ควรถ่ายใส่ไว้ในภาชนะที่เป็นแก้ว หรือกระเบื้องเคลือบมีฝาปิด และเก็บไว้ในตู้เย็น

แต่ทางที่ดี ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆจะดีกว่า เพื่อประโยชน์ที่จะได้รับจากสารอาหารอย่างเต็มที่

No comments:

Post a Comment