Tuesday, August 11, 2015

รูมาตอยด์ ควบคุมได้ถ้ารักษาถูกจุด

 ระวังยาชุดยาลูกกลอนเร่งพิการเร็วขึ้น    

วารสารการแพทย์ต่างประเทศ มีรายงานผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ประมาณ 0.5-1% ของประชากรทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยยังไม่มีการเก็บข้อมูลที่แน่ชัด โดยทั่วไปพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตรา 1:5 - 1:10 และพบมากในหญิงวัยกลางคน

นพ.สุรพงษ์  มาศรังสรรค์ อายุรแพทย์เฉพาะทางโรคข้อ กล่าวว่า รูมาตอยด์ เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคที่เกิดจากแพ้ภูมิตัวเอง ที่มีลักษณะเด่นในเรื่องข้ออักเสบเรื้อรัง แต่ก็มีอาการผิดปกติของระบบอื่นได้ เช่น ปอด ตา หลอดเลือด เส้นประสาท เม็ดโลหิต ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรครูมาตอยด์ แต่คาดว่าเกิดจากความเสี่ยงทางพันธุกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโรคติดเชื้อไวรัส

อาการของโรครูมาตอยด์จะค่อยเป็นค่อยไป โดยมีอาการปวดตามข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า เริ่มแรกจะปวดไม่มาก มักเป็นตอนกลางคืนและเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอนานไปจะปวดมากขึ้น และพบว่าข้อจะบวมมากขึ้นจนเห็นได้ชัด รวมถึงจะเริ่มปวดบริเวณข้อที่ใหญ่ขึ้น เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ข้อไหล่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง

นพ.สุรพงษ์ เตือนถึงการหาซื้อยาชุดมารับประทานเองว่า เมื่อเริ่มปวดแรกๆ กินยาแก้ปวดก็พอทุเลา แต่ไม่หาย ต้องกินยาเพิ่มมากขึ้น บางคนซื้อยาชุดหรือยาลูกกลอนที่มีสารสเตรียรอยด์มากิน แรกๆ จะรู้สึกดีมาก แต่พอผ่านไปสักระยะก็จะช่วยไม่ได้ อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงจากยาสเตียรอยด์ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความพิการเร็วกว่าปกติ ซึ่งบางรายความพิการเกิดขึ้นรวดเร็วมาก จนไม่สามารถช่วยตัวเองได้ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นตลอด

อาการอื่นๆ ที่พบได้ เช่น ตาแดง หลอดเลือดแดงอักเสบอุดตัน เป็นแผลจะรักษาหายยากมาก เส้นประสาทส่วนปลาย โดยเฉพาะที่ข้อเท้า เป็นอัมพาต กระดกข้อเท้าไม่ได้ ปอด มีภาวะหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และปอดเป็นพังผืด

การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์

การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์ประกอบด้วย
-ประวัติอาการปวดข้อที่เป็นมากกว่า 6 สัปดาห์
-การตรวจร่างกายพบข้ออักเสบชัดเจน โดยเฉพาะ ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า
-การตรวจเลือดหารูมาตอยด์แฟคเตอร์ (Rheumatoid Factor) กับ แอนตี้ซิทรูลิเนตแอนตี้บอดี้ (Anticitrullinated Antibody) เป็นตัวช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรค

บางกรณีที่เจาะเลือดตรวจสุขภาพ แล้วพบว่ารูมาตอยด์แฟคเตอร์เป็นบวก และมีอาการปวดข้อ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นโรครูมาตอยด์เสมอไป  Ke Ka La 3 Vi No La Al Or Al Ho Al Ha Vo Cr So Ti Ch St Gu A Fi Tu Bp Au So Da Da Sa Ke Ma Am La Tr Tr Br Mo La Vi To Ca To So Pa Ij Ma Ec Be Pr Th No Mi Te Bu St To Ij Ti Fe L L He Mi Ij Ma Si To To Al Ma Bu Di Pa To Sh Er เพราะอาจให้ผลบวกปลอมได้ แม้ในคนปกติที่อายุมากก็สามารถพบผลบวกปลอมได้ถึง 5% จึงต้องทำการวินิจฉัยแยกโรค ซึ่งโรคที่มีอาการปวดข้อคล้ายรูมาตอยด์ ได้แก่

1.โรคติดเชื้อ

-ไวรัส เช่น หลังจากเป็นหวัด หัดเยอรมัน ไวรัสตับอักเสบบี จะมีอาการปวดข้อเหมือนรูมาตอยด์ แต่อาการมักจะหายได้ภายใน 6 สัปดาห์ ซึ่งต่างจากโรครูมาตอยด์ที่จะเป็นเรื้อรัง

-วัณโรค มีอาการปวดตามข้อคล้ายรูมาตอยด์ได้

1.เชื้อแบคทีเรีย เช่น ติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ และจะมีอาการปวดข้อคล้ายรูมาตอยด์ได้
2.ภาวะแพ้ต่างๆ เช่น แพ้ยา แพ้อาหาร จะมีอาการปวดตามข้อเหมือนรูมาตอยด์ แต่จะหายเร็วเมื่อหยุดสิ่งที่แพ้
3.โรคแพ้ภูมิตัวเองอื่นๆ เช่น โรครูปัส (SLE หรือ โรคพุ่มพวง) โรคหนังแข็ง
4.โรคข้ออักเสบจากผลึก เช่น เก๊าต์ที่เป็นมานาน เก๊าต์เทียมที่เกิดจากผลึกแคลเซียมไพโรฟอตเฟส
โรคผิวหนังสะเก็ดเงิน
5.โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดโลหิต มะเร็งปอด
6.โรคข้อเสื่อม โดยเฉพาะข้อนิ้วมือ
7.อาการปวดข้อที่เกิดจากการหยุดใช้ยาสเตียรอยด์กะทันหัน จะมีอาการปวดตามข้อ เป็นไข้คล้ายผู้ป่วยรูมาตอยด์

โรครูมาตอยด์มีแนวทางการรักษาอยางไรและรักษาให้หายขาดได้หรือไม่

-โรครูมาตอยด์ยังไม่มีการรักษาที่ชี้ชัดว่าหายขาด เพียงแต่ทำให้โรคสงบ และปรับยาให้น้อยที่สุดที่สามารถควบคุมโรคได้ บางรายสามารถหยุดยาได้ แต่ก็อาจกลับมาเป็นอีก

2.การรักษาโรครูมาตอยด์มีหลักการดังนี้

-การรักษาสภาพจิตใจ คือการให้ความรู้เกี่ยวกับโรครูมาตอยด์กับผู้ป่วย ญาติ และผู้ใกล้ชิด โดยให้กำลังใจ และคอยช่วยเหลือในช่วงที่มีอาการปวดมาก บางรายอาจให้พบจิตแพทย์ เพื่อให้คำแนะนำหรือให้ยาลดความเครียด รวมถึงให้คำปรึกษาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา เพราะเป็นโรคที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการรักษานาน

การรักษาทางกาย
-รักษาอาการปวด เพราะความปวดเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ โดยให้ยาแก้ปวด แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มพาราเซตามอล ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ มอร์ฟีนและอนุพันธ์ของมอร์ฟีน

-ลดการอักเสบของข้อ โดยใช้ยากลุ่มเดียวกับยาแก้ปวดและลดการอักเสบ

-ยาในกลุ่มที่ควบคุมให้โรคสงบ จะมีฤทธิ์กดหรือปรับระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะมีผลข้างเคียงมากกว่ากลุ่มยาแก้ปวดเช่น ยาต้านมาลาเรีย ยากลุ่มซัลฟาซาราฟิน ยาเม็ดโทรเทรกเซท เอ็นดรอกแซน อิมมูแลน คลอแรมบูซิ่ว เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มยาใหม่ๆ ในปัจจุบัน เช่น เล็ฟฟูโนมาย (อราว่า) ยากลุ่มต้านสารไซโตครายและต้านเม็ดโลหิตขาว  และสารสเตรียรอยด์ เป็นยาตัวสุดท้ายที่จะพิจารณา เนื่องจากเป็นยาที่ผสมอยู่ในยาชุด ยาลูกกลอน ยาจีน ซึ่งผู้ป่วยอาจได้รับมาก่อน จึงทำให้มีปัญหาเมื่อมาพบแพทย์ ทำให้การรักษาโรคช้าเกินไป ข้อบ่งชี้ในการใช้สารสเตรียรอยด์ในผู้ป่วยรูมาตอยด์ คือกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ถ้าปล่อยไว้อาจมีอันตรายต่อชีวิตหรือพิการ หรือผู้ป่วยมีภาระรับผิดชอบมาก หรือมีความจำเป็น อาจพิจารณาให้ในระยะแรกแล้วรีบถอนออกเร็วที่สุด และกรณีที่คนไข้ได้รับสารสเตรียรอยด์มาก่อน จากยาชุด จะหยุดเลยไม่ได้ ต้องค่อยๆ ถอนยา หากหยุดทันทีอาจทำให้ช๊อคถึงตายได้

ผลข้างเคียงจากยาสเตียรอยด์

ติดเชื้อง่าย โดยเฉพาะวัณโรค กระดูกพรุนหักง่าย กล้ามเนื้อลีบอ่อนแรง หน้าบวมเหมือนพระจันทร์ อ้วนฉุลงพุง ผิวหนังหน้าท้องแตกลาย ทำให้มีภาวะเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เป็นต้อกระจกก่อนวัยอันควร กรณีที่ขาดยาแล้วเกิดภาวะเครียดจะช๊อคได้ง่าย ที่สำคัญคือถ้าใช้นานๆ จะหยุดยายากมาก

การป้องกันและความพิการ เป็นปัญหาของรูมาตอยด์ในระยะยาว การป้องกันที่สำคัญคือการทำกายภาพบำบัด ผู้ป่วยต้องตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เพราะถ้าเกิดแล้วแก้ไขยาก จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด เพื่อแก้ไขความพิการ ดังนี้

-การผ่าตัดใส่ข้อเทียม เช่น ข้อหัวเข่า ข้อสะโพก ข้อนิ้วมือ
-การผ่าตัดป้องกันเอ็นนิ้วมือขาด
-การผ่าตัดแก้ไขเส้นประสาทสันหลังถูกกดทับ ระดับต้นคอ และเส้นประสาทข้อมือ

การดำเนินของโรครูมาตอยด์

-โดยทั่วไปโรครูมาตอยด์มีระยะสงบและกำเริบสลับกันไป Fa Ar Sh Ca La Al Ca To To Bo Ni Bp Po Fr Sj Bo Ro Bo La Bo St Bo Gl Cu Cu Cu Bo Ar Pa Da Bi Ju Bo To Ja To Mi So Vi Ka No Cu Cu Li Me Mi Su Sk Tu Mi Al Al Na Ka Na Mi De Fr Ma Na Do No Le Jo Le Sp Sk Ho Fa Lo Ra Ch Fe Ze ส่วนน้อยที่เป็นและอาจสงบโดยไม่เป็นอีก ส่วนน้อยที่เป็นแล้วรุนแรงพิการในเวลารวดเร็ว ซึ่งผู้ป่วยจะเป็นลักษณะใด ไม่สามารถบอกได้ ต้องติดตามการรักษาโดยใช้ยาให้น้อยที่สุดที่สามารถคุมให้โรคสงบได้ จนกระทั่งหยุดยาได้

สาเหตุการตายของผู้ป่วยโรครูมาตอยด์

-จากโรครูมาตอยด์เอง พบไม่มาก อาจเป็นกรณีที่โรครุนแรงและมีอวัยวะหลายระบบอักเสบ รวมถึงรายที่กระดูกคอเคลื่อนทับกระดูกสันหลังจนเป็นอัมพาต
-ตายจากการใช้ยา พบมากที่สุด โดยติดเชื้อแพร่กระจาย ไตวาย ตับวาย แพ้ยาอย่างรุนแรง ผิวหนังลอกทั้งตัว ไขกระดูกถูกกดทับอย่างรุนแรงจนไม่มีการสร้างเม็ดเลือด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

โรครูมาตอยด์เป็นโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง ทำให้มีข้ออักเสบเรื้อรัง การวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง สามารถทำให้โรคสงบและป้องกันความพิการได้

No comments:

Post a Comment