ช่วงปิดเทอมนี้ถือเป็นโอกาสดี ที่พ่อแม่ลูกจะได้อยู่ใกล้ชิดและมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน รวมถึงการอบรมสั่งสอน สร้างวินัยและฝึกความรับผิดชอบ
นพ.ชาตรี วิฑูรชาตรี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ ระบุว่า การสร้างสำนึกความรับผิดชอบให้กับเด็กนั้นเป็นเรื่องสำคัญ พ่อแม่ไม่ควรปล่อยปละละเลยให้เด็กใช้เวลาอย่างสูญเสียไปในช่วงปิดเทอม แต่ควรสร้างสรรค์กิจกรรมให้เด็กได้ทำ โดยเริ่มได้จากสิ่งเล็กๆ คือ เรื่องส่วนตัว
ควรเริ่มให้เด็กมีความรับผิดชอบในเรื่องส่วนตัวก่อน แล้วค่อยมีส่วนร่วมในเรื่องของงานบ้าน เช่น ฝึกให้ทำความสะอาดห้องนอน กวาดพื้น ถูกพื้น เก็บที่นอน โต๊ะหนังสือ ตู้เสื้อผ้า แล้วค่อยช่วยเรื่องงานบ้าน เช่น ล้างจาน กวาดบ้าน ถูกบ้าน จัดสวน ตัดหญ้า ใส่ปุ๋ยต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะมีบทบาทน้อยลงในเรื่องพวกนี้ เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่จะจ้างพี่เลี้ยงหรือแม่บ้าน หรือไม่พ่อแม่ก็เป็นคนทำเองทุกอย่าง ลูกจึงไม่มีโอกาสได้ทำงานเหล่านี้ และทำไม่เป็น เพราะฉะนั้น พ่อแม่จะต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองฝึกลองทำ
การฝึกความความรับผิดชอบต้องฝึกตั้งแต่เล็กๆ และควรหากิจกรรมที่เหมาะสม ไม่เกินความสามารถให้กับเด็ก เพราะเด็กแต่ละวัยมีความแตกต่างกัน เช่น วัยประถมศึกษาตอนต้น พ่อแม่อาจจะฝึกให้มีให้ความรับผิดชอบในเรื่องส่วนตัวก่อน โดยการเก็บของเล่น เก็บจานข้าว เรื่องเสื้อผ้า ทำตามคำสั่งผู้ใหญ่ ช่วยหยิบสิ่งของ แล้วก็อาจจะช่วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการให้อาหารปลา ช่วยกรอกน้ำและรับผิดชอบห้องของตัวเอง
งานเหล่านี้เด็กวัยประถมศึกษาสามารถทำได้ แต่ถ้าหากเป็นเด็กวัยประถมศึกษาตอนปลายที่โตขึ้นมาหน่อย สามารถทำกิจกรรมที่หนักขึ้นมาได้ ก็อาจจะให้เริ่มจากการเก็บที่นอน ทำความสะอาด เช็ดโต๊ะ เป็นคนจัดโต๊ะอาหาร จานช้อนหยิบมาวาง แล้วจึงค่อยปรับเป็นเรื่องส่วนรวมมากขึ้น
สำหรับเด็กในวัยมัธยมศึกษา อายุ 11 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่เริ่มโตและกำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ควรหากิจกรรมหรืองานที่เหมาะสม ที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบและแสดงความเป็นผู้ใหญ่ เช่น การปิดม่านหน้าต่าง ดูแลกลอนประตู เอาขยะไปทิ้ง Sk
Da
Pe
Bl
Fu
ให้อาหารสุนัข ล้างรถ หรือเป็นลูกมือช่วยแม่ทำครัว
แต่ถ้าเด็กที่ไม่เคยทำอะไรเลย เมื่อพ่อแม่สั่งให้ช่วยงานบ้าน เด็กอาจจะไม่อยากทำ ดังนั้น เทคนิคการฝึกเริ่มต้น พ่อแม่จะต้องมีคำชมให้กับเด็กเพื่อเป็นการกระตุ้นและให้กำลังใจ
การชมเป็นการให้รางวัลอย่างหนึ่ง เป็นคำพูดหรือการกระทำก็ได้ ชมเขา กอดเขา มองด้วยแววตาชื่นชม ส่งเสริมให้เขาอยากทำความดีมากขึ้น โดยธรรมชาติเด็กอยากให้พ่อแม่ชื่นชมอยู่แล้ว ถ้าเด็กมีความดีปุ๊บ ควรชมให้เร็วที่สุด อย่าชมมากเกินความเป็นจริง อย่าโอเว่อร์ ให้ชมแบบชัดเจน ดียังไง เราพอใจยังไงบ้าง เช่น เขาเล่นของเล่นแล้วเก็บเรียบร้อย เราก็ชมว่าแม่ชื่นใจนะที่ลูกมีระเบียบ เล่นแล้วเก็บเรียบร้อย แม่รู้สึกยังไง แม่ต้องไปอวดให้พ่อฟังว่า วันนี้ตั้งใจทำการบ้าน ยิ่งการชมของเรามีคำบรรยายอยู่ในนั้น เด็กจะรู้ว่าควรทำอะไรบ้าง ฟังแล้วจะชื่นใจกว่า มันเป็นการตอกย้ำ
นพ.ชาตรี กล่าวเสริมว่า การเข้านอนและตื่นนอน ก็ถือเป็นการฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง เพราะการนอนและตื่นให้เป็นเวลาทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ถือเป็นการสร้างวินัยและฝึกนิสัยความรับผิดชอบของเด็กได้ แต่บางครั้งในช่วงปิดเทอมอาจจะยืดหยุ่นได้แต่อย่าให้มากเกินไป ปกติไปโรงเรียนอาจจะตื่น 6 โมงเช้า ช่วงปิดเทอมอาจจะยืดหยุ่นให้ตื่น 7 โมง ไม่ใช่ตื่นตอนเที่ยงวัน
แต่สิ่งที่สำคัญที่จะฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบเรื่องการตื่นนอนนั้น เวลาการเข้านอนก็สำคัญ ถือเป็นตัวกำหนด เพราะถ้าเข้านอนเร็ว จะนอนเต็มอิ่ม ตื่นได้ตรงเวลา แต่ถ้าช่วงปิดเทอมนอนเกินสามทุ่มหรือเที่ยงคืนก็คงจะตื่นเช้าไม่ไหว
เรื่องของสภาพแวดล้อมภายในบ้าน ก็มีส่วนสำคัญต่อการฝึกความรับผิดชอบเรื่องการเข้านอน โดยเฉพาะประเภทที่นอนห้องเดียวกัน แล้วก็เอาทีวีไว้ในห้องนอน 4-5 ทุ่มพ่อแม่ยังดูทีวีอยู่ แล้วจะให้ลูกนอน ไฟก็ยังเปิดอยู่ พ่อแม่ควรแยกห้องนอนให้ลูกตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป และในห้องนอนไม่ควรจะมีทีวี คอมพิวเตอร์ และควรจะกำหนดเวลาเข้านอนและตื่นให้เป็นกิจวัตร ถ้าฝึกฝนบ่อยๆ เด็กก็จะชินและเริ่มมีวินัยและความรับผิดชอบตั้งแต่ยังเล็ก คำแนะนำอย่างง่ายจากจิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์
Tuesday, August 11, 2015
วัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด ฮิตตาสวยด้วยคอนแทคเลนส์
วัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด ฮิตตาสวยด้วยคอนแทคเลนส์ (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ)
เอา กันใหญ่แล้ว สำหรับวัยรุ่นไทย กับการนิยมชมชอบแฟชั่นต่างๆ นานา ที่มาจากต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี โดยเฉพาะที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ อย่างเทรนด์ตาเล็กตาชั้นเดียว หรือแม้กระทั้งดวงตาสีสรรต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปผ่าตัดให้สิ้นเปลือง เพราะเค้าใช้คอนแทคเลนส์
ถึง แม้ที่ผ่านมา จะมีข่าวคราวกรณีที่มีทั้งเด็กตาอักเสบ ตาบวม บางรายจนถึงขั้นตาบอดไปเลย เหตุเพราะใส่คอนแทคเลนส์ผิดวิธี แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมของแฟชั่นเสริมสวยดวงตาลดลงแต่อย่างไร กลับยิ่งทวีความนิยมสูงขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะราคาของคอนแทคเลนส์ที่ถูกแสนถูก มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ส่วนระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังสามารถหาซื้อได้ง่าย จากเดิมที่มีขายแต่ร้านแว่นตา หรือจำเป็นต้องแพทย์สั่งเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีวางขายตามแผงค้าตามแหล่งแฟชั่น ตลาดนัด รวมไปถึงการวางจำหน่ายในเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคหาซื้อมาสวมใส่ได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้วัยรุ่นไทยกำลังเสี่ยงกับการอันตรายถึงขั้น ตาบอดได้...
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วิชัย ประสาทฤทธา ภาควิชาจักษุวิทยา รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า โดย ปกติแล้วการสวมใส่คอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้น้อยมาก หากมีการดูแลรักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง ส่วนในรายที่เกิดอาการ อาจเป็นเพราะผู้สวมใส่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการรักษาความสะอาด และอาจสวมใส่คอนแทคเลนส์ในเวลานอนหลับ เพราะนั่นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลานอนดวงตาได้รับออกซิเจนน้อยลง ออกซิเจนจะไปเลี้ยงกระจกตาได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการติดเชื้อขึ้น และเนื่องจากเป็นเลนส์สัมผัสทำให้อาการติดเชื้อมีความรุนแรงและลุกลามอย่าง รวดเร็วจนถึงขั้นทำให้ตาบอด...
หากยังคงให้ตัวอันตราย อย่างคอนแทคเลนส์ หา ซื้อได้ง่ายเช่นนี้ เหล่าวัยรุ่นไทยกว่าครึ่งต้องเสี่ยงตาบอดกันเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศควบคุมมาตรฐานคอนแทคเลนส์ (contact lens ) หรือ เลนส์สัมผัส โดยจะต้องจัดให้มีฉลากบนภาชนะบรรจุ หรือหีบห่อและต้องแสดงข้อความภาษาไทยที่อ่านได้ชัดเจน ทั้งนี้จะมีภาษาอื่นด้วยก็ได้ แต่ความหมายต้องตรงกับข้อความภาษาไทย
ส่วน ในแต่ละรายการจะต้องแสดงชื่อคอนแทคเลนส์ และวัสดุที่ใช้ทำ บอกคุณสมบัติของเลนส์ บอกชื่อของสารละลายที่ใช้แช่เลนส์ ระยะเวลาการใช้งาน ให้ละเอียด ยกเว้นคอนแทคเลนส์ ที่ไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน มีเดือนปีที่หมดอายุ เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ในกรณีที่นำเข้าให้แสดงชื่อผู้ผลิต เมืองและประเทศผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์นั้นด้วย โดยต้องระบุชนิดของเลนส์ให้ชัดเจนว่า เป็นเลนส์ชนิดใช้งานพียงครั้งเดียว หรือชนิดใส่และถอดทุกวัน รวมถึงข้อความว่า โปรดอ่านเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ก่อนใช้ และพิมพ์ข้อความว่า การใช้คอนแทคเลนส์ ควรได้รับการสั่งใช้และตรวจติดตามทุกปีโดยจักษุแพทย์หรือผู้ประกอบโรคศิลปะ
ที่ สำคัญคือ ข้างบรรจุภัณฑ์จำเป็นต้องพิมพ์คำแนะนำ คำเตือน ข้อห้ามใช้และข้อควรระวังในการใช้เลนส์ไว้ว่า การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธี มีความเสี่ยงต่อการอักเสบ Le Tr Sc Sc Sc หรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้ โดยให้แสดงข้อความการห้ามใช้ดังนี้คือ 1. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินระยะเวลาที่กำหนด 2. ห้ามใช้ร่วมกับบุคคลอื่น 3. ห้าม ใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม ควรถอดล้างทำความสะอาดทุกวัน และกำหนดให้พิมพ์ข้อความควรระวัง ผู้ที่ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ ดังนี้ คือ ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ เช่น เป็นต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง หรือกระพริบตาไม่เต็มที่ และให้ใช้น้ำยาล้างเลนส์ที่ใหม่ และเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่แช่เลนส์ ควรเปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุก 3 เดือน
แต่ ถึงแม้จะมีฉลากอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์แล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเอามาใส่แล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา หากผู้ที่สวมใส่ไม่ใส่ใจในการรักษาความสะอาด และยังคงใส่ผิดวิธี อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งการสวมใส่คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมนั้น ควรสวมใส่ได้ในระยะเวลา 8-12 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยหลังจากนั้นต้องดูแลทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ น้ำยาสลายคราบโปรตีน และน้ำยาแช่ฆ่าเชื้อ โดยคอนแทคเลนส์รายเดือนนั้นมีอายุการสวมใส่ 1- 1 เดือนครึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลทำความสะอาด หากไม่รักษาความสะอาดให้ดีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็อาจจะมีสิ่งสกปรกตกค้างจนต้องเปลี่ยนคู่ใหม่ แต่หากรักษาความสะอาดเป็นอย่างดีก็จะทำให้อายุการใช้งานนานขึ้นไปด้วย
ที่ สำคัญที่ต้องล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ การสวมและการเปลี่ยนเลนส์ก็ให้เป็นไปตามระยะที่กำหนด การล้างและการเก็บรักษาเลนส์ก็ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนภาชนะที่เก็บเลนส์ก็ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ
ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่ขณะว่ายน้ำเพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่ตา และต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน
หาก มีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และให้รีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์โดยเร็ว...
เพียง เท่านี้คุณก็จะปลอดภัยจากการอันตรายที่อาจเกิดจากคอนแทคเลนส์ได้แล้ว หากแต่หลีกเลี่ยงไม่ใส่เลยน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะการสวยแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึงอะไร น่าจะปลอดภัยกว่า 100 % นะคะ
ตากระตุกไม่ใช้ขวาร้ายซ้ายดี
วันไหนอยู่ดีๆ แล้วเกิดตากระตุกขึ้นมา คนที่มีความเชื่อตามแบบโบร่ำโบราณจะต้อง คิดทันทีว่า ขวาร้าย ซ้ายดี แต่ถ้าไปถามหมอก็จะได้คำตอบว่าอาการตากระตุก แบ่ง ได้เป็น 2 กรณี คือ เปลือกตากระตุก และลูกตากระตุก
เปลือกตากระตุก อาจเกิดจากนิสัยความเคยชินในวัยเด็ก เด็กบางคนสามารถกระตุก เปลือกตาและใบหน้าเป็นครั้งคราวได้ และสามารถหยุดได้ทันทีเมื่อต้องการหยุด อาการจะหายไปได้เมื่อโตขึ้น นอกจากนั้นอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักพบในคน สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะมีอาการเปลือกตา ค่อยๆบีบตัวเกร็งทีละน้อยจนกลายเป็นหลับตาแน่นมากทั้งสองตา เกิดเป็นครั้งคราว เป็นๆ กายๆ ขณะหลับจะไม่มีอาการ
หากทิ้งไว้นาน ความรุนแรงและความถี่จะมากขึ้นจน กลายเป็นตาปิดตลอด ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ เปลือกตากระตุกอีกชนิดเกิดจากกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระตุก มัก เกิดจากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง หรือมีเนื้องอกกดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงเปลือกตา จะมีอาการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อเปลือกตาและกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกอาการเกร็ง จะคงอยู่แม้ขณะหลับจะมีอันตรายต้องได้รับการผ่าตัด
ตากระตุก เป็นอาการกระตุกของลูกตาเป็นจังหวะด้วยทิศทางและความแรงแตกต่างกันออก ไป เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เกิดขึ้นภายใน 2-3 เดือนแรก หลังคลอดหากลูกตากระตุ กเท่าๆ กันในตาทั้งสองข้างอาจร่วมกับการมีศีรษะสั่นด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมี ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น นอกจากนี้ยังพบได้จากการล้าของกล้ามเนื้อตาทำให้ตากระตุก กลุ่มนี้ไม่มีปัญหา อะไรหายเองได้ แต่หากอาการตากระตุกเป็นอยู่นานๆ ควรต้องไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบ หาสาเหตุของโรคจะได้แก้ไขอย่างถูกต้องต่อไป
เอา กันใหญ่แล้ว สำหรับวัยรุ่นไทย กับการนิยมชมชอบแฟชั่นต่างๆ นานา ที่มาจากต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี โดยเฉพาะที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ อย่างเทรนด์ตาเล็กตาชั้นเดียว หรือแม้กระทั้งดวงตาสีสรรต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปผ่าตัดให้สิ้นเปลือง เพราะเค้าใช้คอนแทคเลนส์
ถึง แม้ที่ผ่านมา จะมีข่าวคราวกรณีที่มีทั้งเด็กตาอักเสบ ตาบวม บางรายจนถึงขั้นตาบอดไปเลย เหตุเพราะใส่คอนแทคเลนส์ผิดวิธี แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมของแฟชั่นเสริมสวยดวงตาลดลงแต่อย่างไร กลับยิ่งทวีความนิยมสูงขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะราคาของคอนแทคเลนส์ที่ถูกแสนถูก มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ส่วนระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังสามารถหาซื้อได้ง่าย จากเดิมที่มีขายแต่ร้านแว่นตา หรือจำเป็นต้องแพทย์สั่งเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีวางขายตามแผงค้าตามแหล่งแฟชั่น ตลาดนัด รวมไปถึงการวางจำหน่ายในเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคหาซื้อมาสวมใส่ได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้วัยรุ่นไทยกำลังเสี่ยงกับการอันตรายถึงขั้น ตาบอดได้...
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วิชัย ประสาทฤทธา ภาควิชาจักษุวิทยา รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า โดย ปกติแล้วการสวมใส่คอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้น้อยมาก หากมีการดูแลรักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง ส่วนในรายที่เกิดอาการ อาจเป็นเพราะผู้สวมใส่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการรักษาความสะอาด และอาจสวมใส่คอนแทคเลนส์ในเวลานอนหลับ เพราะนั่นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลานอนดวงตาได้รับออกซิเจนน้อยลง ออกซิเจนจะไปเลี้ยงกระจกตาได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการติดเชื้อขึ้น และเนื่องจากเป็นเลนส์สัมผัสทำให้อาการติดเชื้อมีความรุนแรงและลุกลามอย่าง รวดเร็วจนถึงขั้นทำให้ตาบอด...
หากยังคงให้ตัวอันตราย อย่างคอนแทคเลนส์ หา ซื้อได้ง่ายเช่นนี้ เหล่าวัยรุ่นไทยกว่าครึ่งต้องเสี่ยงตาบอดกันเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศควบคุมมาตรฐานคอนแทคเลนส์ (contact lens ) หรือ เลนส์สัมผัส โดยจะต้องจัดให้มีฉลากบนภาชนะบรรจุ หรือหีบห่อและต้องแสดงข้อความภาษาไทยที่อ่านได้ชัดเจน ทั้งนี้จะมีภาษาอื่นด้วยก็ได้ แต่ความหมายต้องตรงกับข้อความภาษาไทย
ส่วน ในแต่ละรายการจะต้องแสดงชื่อคอนแทคเลนส์ และวัสดุที่ใช้ทำ บอกคุณสมบัติของเลนส์ บอกชื่อของสารละลายที่ใช้แช่เลนส์ ระยะเวลาการใช้งาน ให้ละเอียด ยกเว้นคอนแทคเลนส์ ที่ไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน มีเดือนปีที่หมดอายุ เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ในกรณีที่นำเข้าให้แสดงชื่อผู้ผลิต เมืองและประเทศผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์นั้นด้วย โดยต้องระบุชนิดของเลนส์ให้ชัดเจนว่า เป็นเลนส์ชนิดใช้งานพียงครั้งเดียว หรือชนิดใส่และถอดทุกวัน รวมถึงข้อความว่า โปรดอ่านเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ก่อนใช้ และพิมพ์ข้อความว่า การใช้คอนแทคเลนส์ ควรได้รับการสั่งใช้และตรวจติดตามทุกปีโดยจักษุแพทย์หรือผู้ประกอบโรคศิลปะ
ที่ สำคัญคือ ข้างบรรจุภัณฑ์จำเป็นต้องพิมพ์คำแนะนำ คำเตือน ข้อห้ามใช้และข้อควรระวังในการใช้เลนส์ไว้ว่า การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธี มีความเสี่ยงต่อการอักเสบ Le Tr Sc Sc Sc หรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้ โดยให้แสดงข้อความการห้ามใช้ดังนี้คือ 1. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินระยะเวลาที่กำหนด 2. ห้ามใช้ร่วมกับบุคคลอื่น 3. ห้าม ใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม ควรถอดล้างทำความสะอาดทุกวัน และกำหนดให้พิมพ์ข้อความควรระวัง ผู้ที่ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ ดังนี้ คือ ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ เช่น เป็นต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง หรือกระพริบตาไม่เต็มที่ และให้ใช้น้ำยาล้างเลนส์ที่ใหม่ และเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่แช่เลนส์ ควรเปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุก 3 เดือน
แต่ ถึงแม้จะมีฉลากอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์แล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเอามาใส่แล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา หากผู้ที่สวมใส่ไม่ใส่ใจในการรักษาความสะอาด และยังคงใส่ผิดวิธี อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งการสวมใส่คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมนั้น ควรสวมใส่ได้ในระยะเวลา 8-12 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยหลังจากนั้นต้องดูแลทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ น้ำยาสลายคราบโปรตีน และน้ำยาแช่ฆ่าเชื้อ โดยคอนแทคเลนส์รายเดือนนั้นมีอายุการสวมใส่ 1- 1 เดือนครึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลทำความสะอาด หากไม่รักษาความสะอาดให้ดีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็อาจจะมีสิ่งสกปรกตกค้างจนต้องเปลี่ยนคู่ใหม่ แต่หากรักษาความสะอาดเป็นอย่างดีก็จะทำให้อายุการใช้งานนานขึ้นไปด้วย
ที่ สำคัญที่ต้องล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ การสวมและการเปลี่ยนเลนส์ก็ให้เป็นไปตามระยะที่กำหนด การล้างและการเก็บรักษาเลนส์ก็ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนภาชนะที่เก็บเลนส์ก็ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ
ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่ขณะว่ายน้ำเพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่ตา และต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน
หาก มีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และให้รีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์โดยเร็ว...
เพียง เท่านี้คุณก็จะปลอดภัยจากการอันตรายที่อาจเกิดจากคอนแทคเลนส์ได้แล้ว หากแต่หลีกเลี่ยงไม่ใส่เลยน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะการสวยแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึงอะไร น่าจะปลอดภัยกว่า 100 % นะคะ
ตากระตุกไม่ใช้ขวาร้ายซ้ายดี
วันไหนอยู่ดีๆ แล้วเกิดตากระตุกขึ้นมา คนที่มีความเชื่อตามแบบโบร่ำโบราณจะต้อง คิดทันทีว่า ขวาร้าย ซ้ายดี แต่ถ้าไปถามหมอก็จะได้คำตอบว่าอาการตากระตุก แบ่ง ได้เป็น 2 กรณี คือ เปลือกตากระตุก และลูกตากระตุก
เปลือกตากระตุก อาจเกิดจากนิสัยความเคยชินในวัยเด็ก เด็กบางคนสามารถกระตุก เปลือกตาและใบหน้าเป็นครั้งคราวได้ และสามารถหยุดได้ทันทีเมื่อต้องการหยุด อาการจะหายไปได้เมื่อโตขึ้น นอกจากนั้นอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักพบในคน สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะมีอาการเปลือกตา ค่อยๆบีบตัวเกร็งทีละน้อยจนกลายเป็นหลับตาแน่นมากทั้งสองตา เกิดเป็นครั้งคราว เป็นๆ กายๆ ขณะหลับจะไม่มีอาการ
หากทิ้งไว้นาน ความรุนแรงและความถี่จะมากขึ้นจน กลายเป็นตาปิดตลอด ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ เปลือกตากระตุกอีกชนิดเกิดจากกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระตุก มัก เกิดจากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง หรือมีเนื้องอกกดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงเปลือกตา จะมีอาการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อเปลือกตาและกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกอาการเกร็ง จะคงอยู่แม้ขณะหลับจะมีอันตรายต้องได้รับการผ่าตัด
ตากระตุก เป็นอาการกระตุกของลูกตาเป็นจังหวะด้วยทิศทางและความแรงแตกต่างกันออก ไป เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เกิดขึ้นภายใน 2-3 เดือนแรก หลังคลอดหากลูกตากระตุ กเท่าๆ กันในตาทั้งสองข้างอาจร่วมกับการมีศีรษะสั่นด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมี ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น นอกจากนี้ยังพบได้จากการล้าของกล้ามเนื้อตาทำให้ตากระตุก กลุ่มนี้ไม่มีปัญหา อะไรหายเองได้ แต่หากอาการตากระตุกเป็นอยู่นานๆ ควรต้องไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบ หาสาเหตุของโรคจะได้แก้ไขอย่างถูกต้องต่อไป
วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง
หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย
ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า
โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ(oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)
นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้า งสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ(anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุยไม่เป็นรูปทรงกลมเหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมากไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า
1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)
2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ
3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์
4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข
อาหารต้านโรค
1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ
คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด Or Si Bu Li Em เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร ลูทีน
ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยง
ของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เ ปอ ร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตรา
การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอ ด และเต้านมอีกด้วย
2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยง
ในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของ
กระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดง
มาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
3. การกินแอปเปิลให้ ปอดแข็งแรง
ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อ ปอ ดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ เคอร์ซีทิน สารตัวนี้จะช่วย
ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ปอ ดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้
สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร เพกทิน จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทิน
มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว
เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เ ปอ ร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย
4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่
ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่น
ด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร โอพีซี (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
วิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณ
ให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่
เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย
ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า
โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ(oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)
นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้า งสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ(anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุยไม่เป็นรูปทรงกลมเหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมากไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า
1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)
2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ
3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์
4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข
อาหารต้านโรค
1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ
คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด Or Si Bu Li Em เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร ลูทีน
ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยง
ของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เ ปอ ร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตรา
การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอ ด และเต้านมอีกด้วย
2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยง
ในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของ
กระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดง
มาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
3. การกินแอปเปิลให้ ปอดแข็งแรง
ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อ ปอ ดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ เคอร์ซีทิน สารตัวนี้จะช่วย
ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ปอ ดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้
สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร เพกทิน จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทิน
มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว
เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เ ปอ ร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย
4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่
ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่น
ด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร โอพีซี (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
วิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณ
ให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่
เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย
วอลนัต ถั่วสารพัดประโยชน์
เป็นที่รู้กันดีว่า ถั่ว อาหารว่างเคี้ยวเพลินของใครหลายคนนั้นเป็นอาหารที่ให้โปรตีนและพลังงานสูง ทำให้เพื่อนๆ บางคนเลือกกินถั่วเป็นอาหารว่างแทนการกินขนมหวาน หรือ อาหารหนักๆ จำพวกแป้ง เพื่อควบคุมน้ำหนัก
ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีที่ช่วยได้มาก เพราะถั่วมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยให้อยู่ท้อง แต่ต้องระวังไม่รับประทานในปริมาณมากเกินไป เพราะถั่วให้พลังงานมากเช่นกัน เนื่องจากมีไขมันสูง ถึงแม้จะเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งจัดเป็นไขมันที่ดีเพราะมีคุณสมบัติช่วยลดโคเลสเตอรอลก็ตาม
แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เราควรมองข้ามสารพัดคุณประโยชน์ของ ถั่ว เพราะนอกจากเส้นใยอาหารแล้ว ถั่วจะอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยต้านการก่อเกิดโรคมะเร็ง ทำให้การกินถั่ววันละนิดจะช่วยเสริมสุขภาพได้อย่างคาดไม่ถึง
โดยสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ ระบุว่า การทานถั่วสักวันละ 1 กำมือ ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสงแบบไทยๆ หรือ ถั่วชื่อฝรั่งๆ อย่างอัลมอนด์ พิทาชิโอ วอลนัต รวมถึงเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ล้วนมีสรรพคุณช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดลง ถั่วจึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจอย่างดี
วอลนัต...สารพัดคุณประโยชน์
ในบรรดาถั่วหลากหลายชนิดนั้น มีอยู่ชนิดหนึ่ง ที่ผมอยากจะแนะนำให้คุณผู้อ่านลองทานกัน นั่นคือ ถั่ววอลนัต หลายๆ คนคงกำลังสงสัยว่าทำไมต้องวอลนัต เพราะคุณประโยชน์ที่โดดเด่นของวอลนัตที่อุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกรดไขมันที่มีประโยชน์ คือ โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่มากกว่าถั่วชนิดอื่นๆ
ผมขอแอบกระซิบบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่ากรดไขมันทั้ง 2 ชนิดนี้ จำเป็นมากสำหรับคุณผู้ชายเพราะช่วยบำรุงให้เชื้ออสุจิแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเจ้ากรดโอเมก้า 3 นี่แหละครับพระเอกตัวจริงเพราะมีผลการวิจัยพบว่ามีประโยชน์สารพัดทั้งช่วยป้องกันหลอดเลือดอักเสบ หลอดเลือดอุดตัน ช่วยควบคุมระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นไขมันอันตราย รวมทั้งช่วยป้องกันโรคหัวใจ Pa L Ro Fo Ni และยังช่วยลดอาการความจำเสื่อมได้
นอกจากนี้ จากการทดลองของสถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐฯ พบว่าโอเมก้า 3 ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนที่สร้างความเครียด (คอร์ติซอล) และอดรีนาลีนให้อยู่ในระดับที่ปรกติ ซึ่งจะช่วยให้ความรู้สึกเครียดลงได้ครับ นี่เองครับเป็นที่มาที่เพื่อนๆ หลายคนคงเคยได้ยินว่า กินถั่วแล้วอารมณ์ดี นอกจากนี้ ในวอลนัตยังอุดมด้วยวิตามินอีที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและเส้นผม จึงช่วยชะลอความแก่ชราอีกด้วยนะครับ
มากินวอลนัต...พิชิตโรคกันเถอะ
นอกจากสารพัดคุณประโยชน์ที่บอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟังแล้ว ผลงานวิจัยยังพบว่า ผู้ที่ชื่นชอบการกินถั่ว โดยเฉพาะวอลนัต อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ มักไม่ค่อยเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดต่างๆ
อีกทั้งยังพบว่า วอลนัตน่าจะมีส่วนช่วยบรรเทาโรคยอดฮิตของคุณผู้ชาย คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก โดยมีการทดลองฉีดเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากในหนูทดลอง พบว่าหนูที่กินอาหารที่มีส่วนผสมของถั่ววอลนัตจะเกิดโรคมะเร็งน้อยกว่าหนูที่กินอาหารปกติ
อีกทั้งยังพบว่าหนูที่เป็นมะเร็งและกินอาหารที่มีส่วนผสมของถั่ววอลนัตเป็นประจำจะมีขนาดของเซลล์มะเร็งเล็กลงเมื่อเทียบกับหนูที่กินอาหารปกติ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า วอลนัตยังมีส่วนช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม โรคร้ายที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย
วอลนัต เป็นอาหารธรรมชาติที่หาซื้อได้ง่ายๆ ตามซูเปอร์มาร์เกตทั่วไป จึงเหมาะจะนำมาเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อง่ายๆ สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลามากนักแต่รักและใส่ใจสุขภาพ หรือถ้าพอมีเวลาสักนิดผมขอแนะนำให้เพื่อนๆ ลองหยิบถั่ววอลนัตสักกำมือมาอบซัก 1 นาที แล้วนำมาโรยหน้าสลัดจานโปรดดูนะครับ รับรองว่าจะช่วยเพิ่มรสชาติและเติมสุขภาพที่ดีให้จานสลัดนี้ยิ่งขึ้นครับ
แต่อย่าลืมนะว่า การรับประทานอาหารควรเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป แต่ต้องเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และควรรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ อีกทั้งควรรับประทานอาหารหลากหลายชนิดควบคู่กันไปด้วย
ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีที่ช่วยได้มาก เพราะถั่วมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยให้อยู่ท้อง แต่ต้องระวังไม่รับประทานในปริมาณมากเกินไป เพราะถั่วให้พลังงานมากเช่นกัน เนื่องจากมีไขมันสูง ถึงแม้จะเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งจัดเป็นไขมันที่ดีเพราะมีคุณสมบัติช่วยลดโคเลสเตอรอลก็ตาม
แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เราควรมองข้ามสารพัดคุณประโยชน์ของ ถั่ว เพราะนอกจากเส้นใยอาหารแล้ว ถั่วจะอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยต้านการก่อเกิดโรคมะเร็ง ทำให้การกินถั่ววันละนิดจะช่วยเสริมสุขภาพได้อย่างคาดไม่ถึง
โดยสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ ระบุว่า การทานถั่วสักวันละ 1 กำมือ ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสงแบบไทยๆ หรือ ถั่วชื่อฝรั่งๆ อย่างอัลมอนด์ พิทาชิโอ วอลนัต รวมถึงเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ล้วนมีสรรพคุณช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดลง ถั่วจึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจอย่างดี
วอลนัต...สารพัดคุณประโยชน์
ในบรรดาถั่วหลากหลายชนิดนั้น มีอยู่ชนิดหนึ่ง ที่ผมอยากจะแนะนำให้คุณผู้อ่านลองทานกัน นั่นคือ ถั่ววอลนัต หลายๆ คนคงกำลังสงสัยว่าทำไมต้องวอลนัต เพราะคุณประโยชน์ที่โดดเด่นของวอลนัตที่อุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกรดไขมันที่มีประโยชน์ คือ โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่มากกว่าถั่วชนิดอื่นๆ
ผมขอแอบกระซิบบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่ากรดไขมันทั้ง 2 ชนิดนี้ จำเป็นมากสำหรับคุณผู้ชายเพราะช่วยบำรุงให้เชื้ออสุจิแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเจ้ากรดโอเมก้า 3 นี่แหละครับพระเอกตัวจริงเพราะมีผลการวิจัยพบว่ามีประโยชน์สารพัดทั้งช่วยป้องกันหลอดเลือดอักเสบ หลอดเลือดอุดตัน ช่วยควบคุมระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นไขมันอันตราย รวมทั้งช่วยป้องกันโรคหัวใจ Pa L Ro Fo Ni และยังช่วยลดอาการความจำเสื่อมได้
นอกจากนี้ จากการทดลองของสถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐฯ พบว่าโอเมก้า 3 ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนที่สร้างความเครียด (คอร์ติซอล) และอดรีนาลีนให้อยู่ในระดับที่ปรกติ ซึ่งจะช่วยให้ความรู้สึกเครียดลงได้ครับ นี่เองครับเป็นที่มาที่เพื่อนๆ หลายคนคงเคยได้ยินว่า กินถั่วแล้วอารมณ์ดี นอกจากนี้ ในวอลนัตยังอุดมด้วยวิตามินอีที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและเส้นผม จึงช่วยชะลอความแก่ชราอีกด้วยนะครับ
มากินวอลนัต...พิชิตโรคกันเถอะ
นอกจากสารพัดคุณประโยชน์ที่บอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟังแล้ว ผลงานวิจัยยังพบว่า ผู้ที่ชื่นชอบการกินถั่ว โดยเฉพาะวอลนัต อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ มักไม่ค่อยเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดต่างๆ
อีกทั้งยังพบว่า วอลนัตน่าจะมีส่วนช่วยบรรเทาโรคยอดฮิตของคุณผู้ชาย คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก โดยมีการทดลองฉีดเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากในหนูทดลอง พบว่าหนูที่กินอาหารที่มีส่วนผสมของถั่ววอลนัตจะเกิดโรคมะเร็งน้อยกว่าหนูที่กินอาหารปกติ
อีกทั้งยังพบว่าหนูที่เป็นมะเร็งและกินอาหารที่มีส่วนผสมของถั่ววอลนัตเป็นประจำจะมีขนาดของเซลล์มะเร็งเล็กลงเมื่อเทียบกับหนูที่กินอาหารปกติ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า วอลนัตยังมีส่วนช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม โรคร้ายที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย
วอลนัต เป็นอาหารธรรมชาติที่หาซื้อได้ง่ายๆ ตามซูเปอร์มาร์เกตทั่วไป จึงเหมาะจะนำมาเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อง่ายๆ สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลามากนักแต่รักและใส่ใจสุขภาพ หรือถ้าพอมีเวลาสักนิดผมขอแนะนำให้เพื่อนๆ ลองหยิบถั่ววอลนัตสักกำมือมาอบซัก 1 นาที แล้วนำมาโรยหน้าสลัดจานโปรดดูนะครับ รับรองว่าจะช่วยเพิ่มรสชาติและเติมสุขภาพที่ดีให้จานสลัดนี้ยิ่งขึ้นครับ
แต่อย่าลืมนะว่า การรับประทานอาหารควรเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป แต่ต้องเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และควรรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ อีกทั้งควรรับประทานอาหารหลากหลายชนิดควบคู่กันไปด้วย
วิธีแก้ไขปัญหา หน้ามันเยิ้ม
เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม
*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*
เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง
*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*
รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง
*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*
1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก
2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย
3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)
ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น
ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ชา ดื่มดีๆ มีประโยชน์
ชาร้อนกลายเป็นกระแสเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมคู่ไปกับกาแฟ ซึ่งเปิดให้บริการทั่วทุกหัวมุมถนน ตามปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ยิ่งเป็นชาเขียวด้วยแล้ว Ra Ka Cl Tr Bu ไม่เฉพาะกลิ่นหอมที่ชวนหลงใหล แต่ยังมีข้อมูลด้านสุขภาพ ที่พบว่า ในชาเขียวมี คาเทซิน โพลีฟีนอล อยู่ปริมาณสูงมาก
คาเทซิน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เลยเชื่อกันว่าดื่มชาเขียวแล้วร่างกายจะแข็งแรง และลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
กระนั้น มีข้อมูลอีกเช่นกันที่ระบุว่า จะต้องดื่มกันเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ใช่แค่กินไอศกรีม คุกกี้ หรือเค้กชาเขียวแล้วจะสุขภาพดี ส่วนจะต้องดื่มชาเขียววันละกี่ถ้วยจึงจะมีประโยชน์ ข้อนี้ไม่มีใครบอกได้แน่นอน
ชาเขียวและชาทั่วไป มีข้อควรระวังในการดื่มด้วยเช่นกัน
• ชาไม่เหมาะกับผู้ป่วยไทรอยด์ ซึ่งอาการกระสับกระส่ายจะยิ่งถูกาเฟอีนในชากระตุ้นให้รุนแรงขึ้น
• หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน ชาก็เป็นหนึ่งในนั้น
• คนที่หัวใจทำงานไม่ปกติ กาเฟอีนในชาคงไม่เหมาะสม แทนนินในน้ำชาจะออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะไม่ควรดื่ม แต่หากอดไม่ได้ อาจเติมนมในชาเพื่อยับยั้งการออกฤทธิ์ของแทนนิน
• ชาที่เข้มข้น อาจทำให้ท้องผูกหรือนอนไม่หลับ
• การดื่มชาเขียวใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์จากชาอย่างเต็มที่
• ชาที่ร้อนเกินไปจะสร้างความระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารอาจเสี่ยงต่อมะเร็ง
อาหารกระป๋อง สะดวกจริงแต่ต้องระวัง
หลายๆบ้านนิยมซื้ออาหารกระป๋องเก็บไว้ นัยว่าสะดวกต่อการรับประทานและสามารถเก็บไว้ได้นาน ไม่ว่าจะเป็น ทูน่ากระป๋อง ผักกาดดอง หรือแม้แต่อาการจำพวกแกงต่างๆ
แต่การเลือกซื้ออาหารกระป๋องนั้น ถือเป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจแม้แต่ในเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่น ควรเลือกซื้ออาหารกระป๋องของผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ลักษณะกระป๋องต้องอยู่ในสภาพที่ดี ไม่บุบ บวม รั่วซึม อย่าซื้ออาหารกระป๋องที่ฉลากไม่ถูกต้อง ไม่มีวันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ
เพราะหากซื้ออาหารกระป๋องเพียงเพราะราคาถูก อาจจะได้รับอันตรายจากอาหารกระป๋องที่ผลิตขึ้นโดยไม่ถูกสุขลักษณะได้ โดยเฉพาะอาหารกระป๋องที่มีสภาพความเป็นกรดต่ำ เช่น พวกเนื้อสัตว์ อาหารทะเล อาจมีบักเตรี พวกคลอสตริเดียม โบตูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งจะสร้างสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการกลืนอาหารลำบาก ม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็ว ระบบหายใจเป็นอัมพาตถึงเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ เมื่อเปิดฝาแล้วควรสังเกตลักษณะภายในด้วยว่ามีกลิ่น สี หรือลักษณะของอาหารผิดปกติหรือไม่ ถ้าเป็นพวกอาหารคาว ควรถ่ายใส่ภาชนะหุงต้มแล้วอุ่นให้เดือดสัก 15 นาที ก่อนนำมารับประทาน หรือถ้าเปิดฝาแล้วกินไม่หมดก็ไม่ควรเก็บไว้ในกระป๋อง แต่ควรถ่ายใส่ไว้ในภาชนะที่เป็นแก้ว หรือกระเบื้องเคลือบมีฝาปิด และเก็บไว้ในตู้เย็น
แต่ทางที่ดี ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆจะดีกว่า เพื่อประโยชน์ที่จะได้รับจากสารอาหารอย่างเต็มที่
*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*
เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง
*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*
รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง
*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*
1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก
2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย
3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)
ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น
ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ชา ดื่มดีๆ มีประโยชน์
ชาร้อนกลายเป็นกระแสเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมคู่ไปกับกาแฟ ซึ่งเปิดให้บริการทั่วทุกหัวมุมถนน ตามปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ยิ่งเป็นชาเขียวด้วยแล้ว Ra Ka Cl Tr Bu ไม่เฉพาะกลิ่นหอมที่ชวนหลงใหล แต่ยังมีข้อมูลด้านสุขภาพ ที่พบว่า ในชาเขียวมี คาเทซิน โพลีฟีนอล อยู่ปริมาณสูงมาก
คาเทซิน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เลยเชื่อกันว่าดื่มชาเขียวแล้วร่างกายจะแข็งแรง และลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
กระนั้น มีข้อมูลอีกเช่นกันที่ระบุว่า จะต้องดื่มกันเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ใช่แค่กินไอศกรีม คุกกี้ หรือเค้กชาเขียวแล้วจะสุขภาพดี ส่วนจะต้องดื่มชาเขียววันละกี่ถ้วยจึงจะมีประโยชน์ ข้อนี้ไม่มีใครบอกได้แน่นอน
ชาเขียวและชาทั่วไป มีข้อควรระวังในการดื่มด้วยเช่นกัน
• ชาไม่เหมาะกับผู้ป่วยไทรอยด์ ซึ่งอาการกระสับกระส่ายจะยิ่งถูกาเฟอีนในชากระตุ้นให้รุนแรงขึ้น
• หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน ชาก็เป็นหนึ่งในนั้น
• คนที่หัวใจทำงานไม่ปกติ กาเฟอีนในชาคงไม่เหมาะสม แทนนินในน้ำชาจะออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะไม่ควรดื่ม แต่หากอดไม่ได้ อาจเติมนมในชาเพื่อยับยั้งการออกฤทธิ์ของแทนนิน
• ชาที่เข้มข้น อาจทำให้ท้องผูกหรือนอนไม่หลับ
• การดื่มชาเขียวใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์จากชาอย่างเต็มที่
• ชาที่ร้อนเกินไปจะสร้างความระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารอาจเสี่ยงต่อมะเร็ง
อาหารกระป๋อง สะดวกจริงแต่ต้องระวัง
หลายๆบ้านนิยมซื้ออาหารกระป๋องเก็บไว้ นัยว่าสะดวกต่อการรับประทานและสามารถเก็บไว้ได้นาน ไม่ว่าจะเป็น ทูน่ากระป๋อง ผักกาดดอง หรือแม้แต่อาการจำพวกแกงต่างๆ
แต่การเลือกซื้ออาหารกระป๋องนั้น ถือเป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจแม้แต่ในเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่น ควรเลือกซื้ออาหารกระป๋องของผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ลักษณะกระป๋องต้องอยู่ในสภาพที่ดี ไม่บุบ บวม รั่วซึม อย่าซื้ออาหารกระป๋องที่ฉลากไม่ถูกต้อง ไม่มีวันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ
เพราะหากซื้ออาหารกระป๋องเพียงเพราะราคาถูก อาจจะได้รับอันตรายจากอาหารกระป๋องที่ผลิตขึ้นโดยไม่ถูกสุขลักษณะได้ โดยเฉพาะอาหารกระป๋องที่มีสภาพความเป็นกรดต่ำ เช่น พวกเนื้อสัตว์ อาหารทะเล อาจมีบักเตรี พวกคลอสตริเดียม โบตูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งจะสร้างสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการกลืนอาหารลำบาก ม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็ว ระบบหายใจเป็นอัมพาตถึงเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ เมื่อเปิดฝาแล้วควรสังเกตลักษณะภายในด้วยว่ามีกลิ่น สี หรือลักษณะของอาหารผิดปกติหรือไม่ ถ้าเป็นพวกอาหารคาว ควรถ่ายใส่ภาชนะหุงต้มแล้วอุ่นให้เดือดสัก 15 นาที ก่อนนำมารับประทาน หรือถ้าเปิดฝาแล้วกินไม่หมดก็ไม่ควรเก็บไว้ในกระป๋อง แต่ควรถ่ายใส่ไว้ในภาชนะที่เป็นแก้ว หรือกระเบื้องเคลือบมีฝาปิด และเก็บไว้ในตู้เย็น
แต่ทางที่ดี ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆจะดีกว่า เพื่อประโยชน์ที่จะได้รับจากสารอาหารอย่างเต็มที่
ย่างอาหารนาน 2 ชั่วโมงเท่ากับสูบบุหรี่ 200,000 กว่ามวน
คนที่ชอบทำอาหารปิ้งหรือย่าง เช่น บาร์บีคิวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคงต้องคิดสักนิด เพราะผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า การทำอาหารดังกล่าวแบบดั้งเดิมจะก่อให้เกิดสารพิษซึ่งเป็นต้นตอของมะเร็ง แถมการปิ้งหรือย่างอาหารนาน 2 ชั่วโมงยังสร้างสารพิษดังกล่าวได้พอๆ กับบุหรี่ 220,000 มวนเลยทีเดียว
จากการศึกษาของกลุ่มโรแบง เดส์ บัวส์ ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศส พบว่า การปิ้งหรือย่างอาหารแบบดั้งเดิมที่ใช้ไม้หรือถ่านเป็นเชื้อเพลิงเป็นเวลา 2 ชั่วโมงจะทำให้เกิดสารไดอ็อกซินในปริมาณเทียบเท่ากับบุหรี่ 220,000 มวน และสารไดอ็อกซินนี้ ก็เป็นสารเคมีในกลุ่มที่ก่อมะเร็ง
ในการศึกษาครั้งนี้ คณะวิจัยดูปริมาณสารพิษจากการย่างสเต็คเนื้อวัว 4 ชิ้นใหญ่ เนื้อไก่งวง 4 ชิ้น และไส้กรอกขนาดใหญ่อีก 8 อัน ซึ่งปริมาณไดอ็อกซินที่ได้จากการย่างอาหารเหล่านี้จะอยู่ที่ 12 ถึง 22 นาน์โนกรัม ทั้งนี้ นอกจากการศึกษาข้างต้นแล้ว หน่วยงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยของอาหารในฝรั่งเศสยังได้วิจัยถึงความเป็นไปได้ที่อาหารประเภทปิ้งหรือย่าง เช่นบาร์บีคิวจะก่อให้เกิดมะเร็ง และพวกเขาก็พบว่า สารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางตัวไปปะปนในอาหารระหว่างที่ปิ้งหรือย่าง
เดส์มองด์ อองแมร์ตอง อดีตผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์ชีววิทยาทางทะเลในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รณรงค์เรื่องความปลอดภัยของอาหาร กล่าวว่า เขาอยากจะเตือนให้ทุกคนระวังภัยจากอาหารประเภทปิ้งและย่าง รวมทั้งขั้นตอนในการปรุงอาหารเหล่านี้ด้วย
ถึงแม้การทำบาร์บีคิว หรือปิ้งและย่างอาหารในบางวันของช่วงฤดูร้อนจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่ถ้าคุณทำอาหารประเภทนี้เป็นประจำก็ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และขั้นตอนในการทำอาหารประเภทนี้ยังทำให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพได้พอๆ กับการสูบบุหรี่เป็นเวลากว่า 10 หรือ 20 ปี เลยทีเดียว เขากล่าว
ผลการศึกษาชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารฟูด สแตนดาร์ดส์ เอเจนซี
ล้างพิษใน 1 วัน..ที่คุณทำเองได้
คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็ง แรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้าย Ha Gi Na Na Ed แรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย
หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และ อาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดี แล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า
1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ลส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2อย่างคือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรี สูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้
2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้า เลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ(มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอ กับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด
3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อย ที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาว ลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป
5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็ก ส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษ ถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้า ไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป
วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว
อุปกรณ์
ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
มะนาว 4 ลูก
เกลือป่น 2ช้นชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน
วิธีทำ
ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูกและเกลือ 1 ช้อนชา เขย่า ให้เข้ากัน
มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูด ซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ
หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น คือาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ต่อหนึ่ง ครั้งที่
จากการศึกษาของกลุ่มโรแบง เดส์ บัวส์ ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศส พบว่า การปิ้งหรือย่างอาหารแบบดั้งเดิมที่ใช้ไม้หรือถ่านเป็นเชื้อเพลิงเป็นเวลา 2 ชั่วโมงจะทำให้เกิดสารไดอ็อกซินในปริมาณเทียบเท่ากับบุหรี่ 220,000 มวน และสารไดอ็อกซินนี้ ก็เป็นสารเคมีในกลุ่มที่ก่อมะเร็ง
ในการศึกษาครั้งนี้ คณะวิจัยดูปริมาณสารพิษจากการย่างสเต็คเนื้อวัว 4 ชิ้นใหญ่ เนื้อไก่งวง 4 ชิ้น และไส้กรอกขนาดใหญ่อีก 8 อัน ซึ่งปริมาณไดอ็อกซินที่ได้จากการย่างอาหารเหล่านี้จะอยู่ที่ 12 ถึง 22 นาน์โนกรัม ทั้งนี้ นอกจากการศึกษาข้างต้นแล้ว หน่วยงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยของอาหารในฝรั่งเศสยังได้วิจัยถึงความเป็นไปได้ที่อาหารประเภทปิ้งหรือย่าง เช่นบาร์บีคิวจะก่อให้เกิดมะเร็ง และพวกเขาก็พบว่า สารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางตัวไปปะปนในอาหารระหว่างที่ปิ้งหรือย่าง
เดส์มองด์ อองแมร์ตอง อดีตผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์ชีววิทยาทางทะเลในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รณรงค์เรื่องความปลอดภัยของอาหาร กล่าวว่า เขาอยากจะเตือนให้ทุกคนระวังภัยจากอาหารประเภทปิ้งและย่าง รวมทั้งขั้นตอนในการปรุงอาหารเหล่านี้ด้วย
ถึงแม้การทำบาร์บีคิว หรือปิ้งและย่างอาหารในบางวันของช่วงฤดูร้อนจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่ถ้าคุณทำอาหารประเภทนี้เป็นประจำก็ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และขั้นตอนในการทำอาหารประเภทนี้ยังทำให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพได้พอๆ กับการสูบบุหรี่เป็นเวลากว่า 10 หรือ 20 ปี เลยทีเดียว เขากล่าว
ผลการศึกษาชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารฟูด สแตนดาร์ดส์ เอเจนซี
ล้างพิษใน 1 วัน..ที่คุณทำเองได้
คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็ง แรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้าย Ha Gi Na Na Ed แรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย
หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และ อาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดี แล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า
1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ลส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2อย่างคือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรี สูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้
2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้า เลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ(มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอ กับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด
3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อย ที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาว ลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป
5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็ก ส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษ ถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้า ไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป
วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว
อุปกรณ์
ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
มะนาว 4 ลูก
เกลือป่น 2ช้นชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน
วิธีทำ
ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูกและเกลือ 1 ช้อนชา เขย่า ให้เข้ากัน
มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูด ซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ
หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น คือาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ต่อหนึ่ง ครั้งที่
โรคยอดฮิต ความดันโลหิตสูง และ เบาหวาน
จากการที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมโรงพยาบาลเกือบทั่วประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลชุมชน (อำเภอ) ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ผมแปลกใจมากที่ได้รับทราบว่าโรคลำดับต้น ๆ ที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะอยู่ในถิ่นแร้นแค้นแค่ไหนพบมาก คือ โรคความดันโลหิตสูง (hypertension) และโรคเบาหวาน (diabetes mellitus) ที่ผมแปลกใจก็เพราะทั้ง 2 โรคนี้มักจะเกิดในผู้ที่มีอันจะกิน มักเป็นโรคที่พบในเมือง ไม่น่าจะใช่ในชนบท พบในประเทศที่เจริญแล้ว ในประเทศที่มีคนอ้วนมาก ๆ เช่น อังกฤษ อเมริกา แต่ปรากฏว่าคนไทยที่มีฐานะยากจน ที่ไม่อ้วนก็ยังเป็นโรคนี้
ผมจึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวไทยทุก ๆ คน (ถ้าเป็นไปได้) ได้รู้จัก 2 โรคนี้ รู้จักป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคนี้ หรือถ้าเป็นแล้วรู้จักวิธีดูแลตนเอง ผ่อนหนักให้เป็นเบา ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าโรคนี้มีส่วนที่เป็นกรรมพันธุ์ ถ้าบิดามารดาเราเป็นโรค 2 นี้ เรามีสิทธิเป็นมากกว่าผู้ที่บิดามารดาไม่เป็นโรคนี้ ประเด็นที่สำคัญ คือ ครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงไม่มีอาการ บางครั้งกว่าจะรู้สึกก็เลือดออกในสมองเป็นอัมพาตไปแล้ว ฉะนั้นทุกท่านถ้ามีโอกาสควรไปวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะถ้าอายุ 40 ปีขึ้นไป ถ้าความดันโลหิตของท่านสูง
วิธีการรักษาง่าย ๆ มีอยู่ 3 อย่าง คือ
หนึ่ง ควบคุมการรับประทานอาหาร
สอง การออกกำลังกาย และ
สาม ทานยาตามแพทย์แนะนำ
ทั้งโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน เมื่อเป็นแล้วไม่หายขาด จะต้องได้รับการรักษาไปตลอดชีวิต แต่ชีวิตท่านอาจจะยืนยาวเหมือนไม่เป็นโรค ถ้าท่านดูแลสุขภาพของท่าน อาการของโรคเบาหวาน คือ ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย (ถึงแม้ไม่ดื่มน้ำ) ทานจุแต่ผอม เพราะร่างกายจะปล่อยน้ำตาลออกมาในปัสสาวะ ทำให้ร่างกายต้องปล่อยน้ำ (ปัสสาวะ) ออกมาเพื่อละลายน้ำตาลในปัสสาวะด้วย ถ้ามีอาการบางอย่างดังที่กล่าว โดยเฉพาะถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นเบาหวานควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดดู
แต่ผมอยากให้ประชาชนทุกท่านวางแผนป้องกันการเกิดโรคทั้ง 2 ด้วยวิธีง่าย ๆ คือ ออกกำลังกาย ควบคุมอาหารโดยมีเป้าหมายว่าขอให้ดัชนีมวลกายของแต่ละท่านอยู่ระหว่าง 18.5 - 23 ดัชนีมวลกาย หรือ body mass index, BMI คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง การออกกำลังกายที่ดีต่อสุขภาพ คือ การเดินเร็ว ๆ วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เต้นแอโรบิก ฯลฯ ครั้งละ 30-60 นาที อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทุกวันถ้าได้ โดยออกกำลังให้เหงื่อออก (ถ้าอยู่ข้างนอก) หอบเล็กน้อยก็พอแล้ว แต่ถ้าวัดชีพจรได้ก็ให้ชีพจรเต้น 70% ของ (220 - อายุปี ซึ่งก็คือความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้)
การรับประทานอาหารที่ถูกหลักแบบง่าย ๆ คือ การทานหนักไปทางพืช ผัก ถั่ว เห็ด เต้าหู้ ปลา ไก่ (ไม่กินหนัง) เป็นหลัก ไม่ทานข้าวมาก หลีกเลี่ยงกะทิ หนังสัตว์ มันสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ของหวาน น้ำตาล น้ำหวาน ถ้าประชาชนทั้งประเทศเพียงแต่คุม BMI ให้อยู่ต่ำกว่า 23 ประเทศไทยจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค 2 โรคนี้และโรคอื่น ๆ เป็นแสนล้านบาทต่อปี ทุกท่านต้องดูแลตนเองครับ อย่าปล่อยตัวเองแล้วต้องไปพึ่ง 30 บาท ประกันสังคม หรือ ราชการ เลยครับ แพงมากและไม่ดีเท่าการไม่เป็นโรคครับ
อาหาร 7 อย่างที่พึงเลี่ยงเมื่อท้องว่าง
เมื่อคนมันหิว อะไรใกล้มือก็มักจะคว้าเข้าปากกันไปก่อน ใครมีนิสัยอย่างนี้ขอให้ ลองปรับตัวเสียใหม่
เพราะอาหารบางอย่างอาจเป็นเมนูที่ไม่ ค่อยเหมาะกับร่างกายในยามนั้นได้7 เมนู ที่ควรหลีกเลี่ยงยามท้องว่าง ที่จะนำมาบอกกล่าวในครั้งนี้ นำมาจากคอลัมน์สุข กาย ในจดหมายข่าวสร้างสุข ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.) เดือนพฤษภาคม 2550 มีรายการดังต่อไปนี้
1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง
4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียม และแมกนีเซียม Dk In Ar Em Go เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพอย่างมาก
6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่
แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ
วิตามินซี เพื่อสุขภาพ
มาทำความรู้จักกับวิตามินซี กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาดวิตามินซี หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้
- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง
- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง
- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ
- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย
- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ
- เกิดโรคลักปิดลักเปิด
สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี (มิลลิกรัม)
ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8
อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่าวิตามินซี
เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล
ผมจึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวไทยทุก ๆ คน (ถ้าเป็นไปได้) ได้รู้จัก 2 โรคนี้ รู้จักป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคนี้ หรือถ้าเป็นแล้วรู้จักวิธีดูแลตนเอง ผ่อนหนักให้เป็นเบา ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าโรคนี้มีส่วนที่เป็นกรรมพันธุ์ ถ้าบิดามารดาเราเป็นโรค 2 นี้ เรามีสิทธิเป็นมากกว่าผู้ที่บิดามารดาไม่เป็นโรคนี้ ประเด็นที่สำคัญ คือ ครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงไม่มีอาการ บางครั้งกว่าจะรู้สึกก็เลือดออกในสมองเป็นอัมพาตไปแล้ว ฉะนั้นทุกท่านถ้ามีโอกาสควรไปวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะถ้าอายุ 40 ปีขึ้นไป ถ้าความดันโลหิตของท่านสูง
วิธีการรักษาง่าย ๆ มีอยู่ 3 อย่าง คือ
หนึ่ง ควบคุมการรับประทานอาหาร
สอง การออกกำลังกาย และ
สาม ทานยาตามแพทย์แนะนำ
ทั้งโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน เมื่อเป็นแล้วไม่หายขาด จะต้องได้รับการรักษาไปตลอดชีวิต แต่ชีวิตท่านอาจจะยืนยาวเหมือนไม่เป็นโรค ถ้าท่านดูแลสุขภาพของท่าน อาการของโรคเบาหวาน คือ ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย (ถึงแม้ไม่ดื่มน้ำ) ทานจุแต่ผอม เพราะร่างกายจะปล่อยน้ำตาลออกมาในปัสสาวะ ทำให้ร่างกายต้องปล่อยน้ำ (ปัสสาวะ) ออกมาเพื่อละลายน้ำตาลในปัสสาวะด้วย ถ้ามีอาการบางอย่างดังที่กล่าว โดยเฉพาะถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นเบาหวานควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดดู
แต่ผมอยากให้ประชาชนทุกท่านวางแผนป้องกันการเกิดโรคทั้ง 2 ด้วยวิธีง่าย ๆ คือ ออกกำลังกาย ควบคุมอาหารโดยมีเป้าหมายว่าขอให้ดัชนีมวลกายของแต่ละท่านอยู่ระหว่าง 18.5 - 23 ดัชนีมวลกาย หรือ body mass index, BMI คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง การออกกำลังกายที่ดีต่อสุขภาพ คือ การเดินเร็ว ๆ วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เต้นแอโรบิก ฯลฯ ครั้งละ 30-60 นาที อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทุกวันถ้าได้ โดยออกกำลังให้เหงื่อออก (ถ้าอยู่ข้างนอก) หอบเล็กน้อยก็พอแล้ว แต่ถ้าวัดชีพจรได้ก็ให้ชีพจรเต้น 70% ของ (220 - อายุปี ซึ่งก็คือความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้)
การรับประทานอาหารที่ถูกหลักแบบง่าย ๆ คือ การทานหนักไปทางพืช ผัก ถั่ว เห็ด เต้าหู้ ปลา ไก่ (ไม่กินหนัง) เป็นหลัก ไม่ทานข้าวมาก หลีกเลี่ยงกะทิ หนังสัตว์ มันสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ของหวาน น้ำตาล น้ำหวาน ถ้าประชาชนทั้งประเทศเพียงแต่คุม BMI ให้อยู่ต่ำกว่า 23 ประเทศไทยจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค 2 โรคนี้และโรคอื่น ๆ เป็นแสนล้านบาทต่อปี ทุกท่านต้องดูแลตนเองครับ อย่าปล่อยตัวเองแล้วต้องไปพึ่ง 30 บาท ประกันสังคม หรือ ราชการ เลยครับ แพงมากและไม่ดีเท่าการไม่เป็นโรคครับ
อาหาร 7 อย่างที่พึงเลี่ยงเมื่อท้องว่าง
เมื่อคนมันหิว อะไรใกล้มือก็มักจะคว้าเข้าปากกันไปก่อน ใครมีนิสัยอย่างนี้ขอให้ ลองปรับตัวเสียใหม่
เพราะอาหารบางอย่างอาจเป็นเมนูที่ไม่ ค่อยเหมาะกับร่างกายในยามนั้นได้7 เมนู ที่ควรหลีกเลี่ยงยามท้องว่าง ที่จะนำมาบอกกล่าวในครั้งนี้ นำมาจากคอลัมน์สุข กาย ในจดหมายข่าวสร้างสุข ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.) เดือนพฤษภาคม 2550 มีรายการดังต่อไปนี้
1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง
4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียม และแมกนีเซียม Dk In Ar Em Go เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพอย่างมาก
6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่
แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ
วิตามินซี เพื่อสุขภาพ
มาทำความรู้จักกับวิตามินซี กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาดวิตามินซี หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้
- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง
- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง
- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ
- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย
- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ
- เกิดโรคลักปิดลักเปิด
สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี (มิลลิกรัม)
ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8
อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่าวิตามินซี
เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล
โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง Musculotendinous Strain
ลักษณะทั่วไป
โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการปวดหลัง พบได้ตั้งแต่วัยหนุ่ม
สาวเป็นต้นไป เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เอง แต่อาจเป็นๆ หาย ๆ
เรื้อรังได้
สาเหตุ
มักเกิดจากการทำงานก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก นั่ง ยืน นอน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง
ใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไป ทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลัง
ส่วนล่าง ซึ่งจะมีอาการเกร็งตัว ทำให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง คนที่อ้วน หรือ
หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดหลังได้เช่นกัน
อาการ
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง (ตรงบริเวณกระเบนเหน็บ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเฉียบพลัน
หรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า การไอ
จาม หรือบิดตัว เอี้ยวตัวอาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแข็งแรงดี และไม่มี
อาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย
สิ่งตรวจพบมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร
การรักษา
1. สังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร แล้วแก้ไขเสีย เช่น ถ้าปวดหลังตอนตื่นนอน ก็อาจเกิดจากที่
นอนนุ่มไป หรือนอนเตียงสปริง ก็แก้ไขโดยนอนบนที่แข็งและเรียบแทนถ้าปวดหลังตอนเย็น
ก็มักจะเกิดจากการนั่งตัวงอตัวเอียง หรือใส่รองเท้าส้นสูง ก็พยายามนั่งให้ถูกท่า หรือเปลี่ยน
เป็นรองเท้าธรรมดาแทน ถ้าอ้วนไป ควรพยายามลดน้ำหนัก
2. ถ้ามีอาการปวดมาก ให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก
สักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่อง หรือน้ำมันระกำทานวด หรือใช้น้ำอุ่นประคบก็ได้
ถ้าไม่หาย ก็ให้ยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน, พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด จะกินควบกับ
ไดอะซีแพมขนาด 2 มก.ด้วยก็ได้
ถ้ายังไม่หาย อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น เมโทคาร์บา มอล , คาริโซม่า ครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำ
ได้ทุก 6-8 ชั่วโมง
ผู้ป่วยควรนอนที่นอนแข็ง และหมั่นฝึก กายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง
3. ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือมีอาการชาที่ขา หรือขาไม่มีแรง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำ ผู้ป่วยไป
โรงพยาบาล อาจ ต้องเอกซเรย์หลัง หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตาม สาเหตุที่พบ
ข้อแนะนำ
อาการปวดหลังแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในหมู่ชาวไร่ชาวนา กรรมกรที่ทำงานหนัก และใน
หมู่คนที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่า เป็นอาการของโรคไต โรคกษัย และซื้อ
ยาชุด ยาแก้กษัย หรือยาแก้โรคไต กินอย่างผิด ๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้น
จึงควรแนะนำชาวบ้านเข้าใจถึง สาเหตุของอาการปวดหลัง และควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น
โดยทั่วไป การปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อมักจะปวดตรงกลางหลัง ส่วนโรคไตมักจะปวดที่สีข้าง
และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น หรือปัสสาวะขุ่นหรือแดงร่วมด้วย
การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยระวังรักษาท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ ให้ถูกต้อง หมั่นออกกำลัง
กล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ และนอนบนที่นอนแข็ง
โรคปวดหลังป้องกันได้ไม่ยากBack pain
โรคปวดหลังพบได้บ่อยรองจากโรคปวดหัว เมื่อคุณอายุมากอาจ จะต้อง
เผชิญกับโรคนี้ คิดป้องกันตอนนี้จะได้ไม่เป็นโรคปวดหลัง
สาเหตุของการปวดหลังนั้นมีมากมาย ขึ้นกับอายุของผู้ป่วย ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคน
ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากการอักเสบของเอ็น และกล้ามเนื้อบริเวณสันหลัง อาจเกิดจากการ
จัดท่าทางของร่างกายไม่ถูกต้อง เช่น นั่งหลังงอ, เดินหลังโก่ง หรือยกของหนักผิดวิธี ฯลฯ
การรักษาจึงเป็นเพียงการรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ แก้ปวด
การจัดท่าทางให้ถูกต้องและการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ก็จะเพียงพอ
ยังมีสาเหตุของการปวดหลังในวัยหนุ่มสาว และกลางคนที่พบได้ไม่น้อยเลยคือ
หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทขา ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดหลังส่วนล่าง
ปวดตะโพก ส่วนใหญ่จะร้าวลงขา มีบางรายอาจจะไม่ร้าวลงถึงต้นขา แต่อาการปวดจะ
ยังคงอยู่แค่บริเวณตะโพกและหลังเท่านั้น ในรายเช่นนี้ อาการปวดมักจะเป็นมากขึ้น
เมื่อก้มหรือ ไอ , จาม และดีขึ้นเมื่อได้นอนราบ
ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มีอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนี้ สามารถวินิจฉัยได้จากการ
ซักถามประวัติและตรวจร่างกาย, มีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและการทำกายภาพบำบัด
ค่อนข้างดี มีบางส่วนเท่านั้นที่อาการไม่ดีขึ้น ซึ่งต้องได้รับการยืนยันการวินิจฉัยโรค ด้วยการ
เอ็กซเรย์พิเศษอาจจะเป็นการฉีดสีเข้าบริเวณไขสันหลัง (Myelogram) หรือการเอ็กซเรย์
คอมพิวเตอร์แม่เหล็ก (MRI) ก็ได้ เมื่อยืนยันการวินิจฉัยได้แล้ว ก็สามารถให้การรักษาในขั้น
ต่อไปได้ โดยอาจจะเป็นการฉีดยาเข้าบริเวณไขสันหลังหรือการผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกที่
ทับเส้นประสาทนั้นออก
ส่วนในวัยสูงอายุ อาการปวดหลังมักมีสาเหตุจากการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลัง
เช่นกระดูกสันหลังงอกดทับเส้นประสาท Go Di La Wi Ji หรือมีการเคลื่อนตัวของข้อกระดูกสันหลังออกจาก
ตำแหน่งเดิม ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติ, ตรวจร่างกาย และเอ็กซเรย์
การรักษาเบื้องต้นก็ยังคงเป็นการรับประทานยา, ใส่เสื้อรัดเอว, ทำกายภาพบำบัดเสียก่อน
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากขึ้น ก็อาจจะพิจารณาเรื่องการผ่าตัดรักษา
สาเหตุอื่นๆส่วนน้อย ที่ทำให้มีอาการปวดหลังได้ ก็คือ ปวดจากการร้าวของอวัยวะของ
ช่องท้อง เช่น นิ่วที่ไต, ตับอ่อนอักเสบ ฯลฯ ซึ่งพบไม่บ่อยนัก จากประวัติอาการปวด, ตรวจ
ร่างกาย, เอ็กซเรย์
รวมถึงการตรวจทางห้องทดลอง (เลือด, ปัสสาวะ) ก็สามารถให้การวินิจฉัยได้ถูกต้อง
พอสมควรอยู่แล้ว
สาเหตุ โรคปวดหลังนั้นมีมากมาย ได้แก่
โดยกำเนิด, อุบัติเหตุ, เนื้องอก, ติดเชื้อ, อักเสบ, โรคเมตาบอลิก, โรคในช่องท้อง, โรค
กระดูกสันหลังเสื่อม แต่สาเหตุที่เป็นกันมาก และ สามารถป้องกันรักษาได้ คือ โรคกระดูก
สันหลังเสื่อม น้ำหนักตัวมาก ท่าทางไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกายทำให้ลงพุง
เอวแอ่นมาก
คนที่ลงพุง น้ำหนักที่มากขึ้นคูณกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อ หลังต้อง
ออกแรงดึง มากขึ้น การดึงเป็นเวลานานๆ ทำให้กระดูกสันหลัง เสื่อมเร็ว ทำให้ปวดหลังได้
ท่าทางที่ไม่เหมาะสม หลังจะค่อมทำให้เอวแอ่นมากขึ้น การที่เอว แอ่นมากขึ้น ทำให้ช่อง
ทางออก ของเส้นประสาท แคบลง เส้นประสาท ถูกเบียดมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ปวดหลัง
เอวแอ่นอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลย์กัน จึงเกิดการเสื่อม
ของหมอนรอง กระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมตามมา
การรักษา ที่ดีที่สุด คือ ป้องกันสาเหตุ ได้แก่
1. ลดน้ำหนักตัว ไม่ใช่การอดอาหาร แต่เป็นการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่งดเว้นการกินอาหาร
ที่มีแคลอรี่สูง มากเกิน ความจำเป็น เช่น ดื่มน้ำหวาน
2. ท่าทางเหมาะสม
ท่ายืน ที่ถูกต้อง คือ แขม่วท้องอกผายไหล่ผึ่งเอวแอ่นน้อยที่สุด ถ้าต้องยืนเป็นเวลานานควรมี
ที่พักเท้า การยืนห่อไหล่พุงยื่น ทำให้เอวแอ่น มากปวดหลังได้
ท่านั่ง ที่ถูกต้อง สันหลังตรงพิงพนัก เก้าอี้สูงพอดี และควรมีที่พักแขน การนั่งห่างจากโต๊ะ
มากทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมาก ที่นั่งที่เหมาะสม ที่สุดในการพักผ่อน ควรเอียง 60 องศา
จากแนวตั้ง มีส่วนหนุนหลัง มีที่วางแขน ทำด้วยวัสดุนุ่มแต่แน่น
ท่านั่งขับรถ ที่ถูกต้อง หลังพิงพนัก เข่างอเหนือระดับสะโพก การนั่งห่างเกินไป ทำให้เข่าต้อง
เหยียดออกกระดูกสันหลังตึง
ท่ายกของ ที่ถูกต้อง ควรย่อตัว ยกของให้ชิดตัว แล้วลุกด้วยกำลังขา การก้มลงหยิบของในลักษณะ
เข่าเหยียดตรง ทำให้ปวดหลังได้
ท่าถือของ ที่ถูกต้องควรให้ชิดตัวที่สุด การถือของห่างจากลำตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนัก
ปวดหลังได้
ท่าเข็นรถ ที่ถูกต้อง ควรดันไปข้างหน้า ออกแรงที่กล้ามท้อง การดึง ถอยหลังจะออกแรงที่กล้ามเนื้อ
หลังเป็นเหตุให้ปวดหลัง
ท่านอน ที่นอน ควรจะแน่น ยุบตัวน้อยที่สุด ไม่ควรใช้ฟูกฟองน้ำ หรือเตียงสปริง เพราะหลัง จะจม
อยู่ในแอ่ง ทำให้กระดูกสันหลังแอ่น มากปวดหลังได้
นอนคว่ำ จะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากที่สุด โดยเฉพาะระดับเอว ทำให้ปวดหลังได้
นอนหงาย ทำให้หลังแอ่นได้เล็กน้อย ควรใช้หมอนข้างใบใหญ่ หนุนใต้ โคนขา จะช่วยให้กระดูก
สันหลังไม่แอ่น
นอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดี ควรให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอ สะโพก และเข่ากอดหมอนข้าง
3. การออกกำลังกาย
กระดูกสันหลังปกติรับน้ำหนักมากอาจหลุดได้ แต่นักกีฬายกน้ำหนัก ได้มาก เพราะมีกล้ามเนื้อท้อง
แข็งแรง เปรียบเสมือนมีลูกบอลคอยช่วย รับน้ำหนักไว้ การออกกำลังกายที่จำเป็นต้องทำเป็นประจำ
ปวดหลัง Back pain:
จาก หน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพคลีนิค ผู้ป่วยนอก ออร์โทบิดิกส์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
จารุณี นันทวโนทยาน รวบรวม ร.ศ. นพ. วิเชียร เลาหเจริญสมบัติ ที่ปรีกษา
ปวดหลัง-ปวดเอว เป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน จากสถิติ มนุษย์ร้อยละ 80 เคยมี
ประสบการณ์การปวดหลัง-ปวดเอว อาการปวดจะแสดงได้ต่าง ๆ กัน บางท่านอาจปวดเฉพาะ
บริเวณหลังหรือกระเบนเหน็บ หรือบางท่านอาจปวดหลัง และร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง
สองข้างและมีอาการชาร่วมด้วยจนเดินไม่ได้ก็มี
หลังที่สมบูรณ์แข็งแรงจะยืดหยุ่นและไม่ปวดมีการทำงานของระบบโครงสร้าง คือ
กระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกกล้ามเนื้อและเอ็นอย่างเหมาะสม และปกป้องอันตรายไม่ให้เกิด
กับประสาทไขสันหลัง
สาเหตุอาการปวดหลัง
1.) การใช้กิริยาท่าทางต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันไม่ถูกต้อง
2.) ความเสื่อมของกระดูกและข้อจากวัยที่สูงขึ้น
3.) ขาดการออกกำลังกายหรือมีการเคลื่อนไหวที่จำกัด
4.) ความผิดปกติของกระดูกสันหลังแต่กำเนิด เช่น หลังคด หลังแอ่น
5.) การมีการอักเสบหรือติดเชื้อ เช่น วัณโรคของกระดูกสันหลัง
6.) การได้รับอุบัติเหตุ เช่น ตกจากที่สูง
7.) การมีเนื้องอกของประสาทไขสันหลังหรือมะเร็งที่แพร่กระจายมายังกระดูกสันหลัง
8.) อาการปวดร้าวมายังหลังจากโรคของอวัยวะในระบบอื่น ๆ เช่นนิ่วในไต เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน
9.) ปัญหาที่ทำให้เกิดความตึงเครียด และความวิตกกังวลในชีวิต
การป้องกันอาการปวดหลัง
1.) เรียนรู้การใช้กิริยาท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน
2.) หลีกเหลี่ยงการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน
3.) หลีกเหลี่ยงการใช้แรงงานมาก ๆ และรู้ถึงขีดจำกัดกำลังของตัวเองในการยกของหนัก
4.) ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน ซึ่งทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวต้องรับน้ำหนักมาก โดย
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับร่างกายให้ครบทุกประเภท
5.) บำรุงรักษาสุขภาพร่างกายทั่วไปให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ร่วมกับการออกกำลังกาย
กลางแจ้ง เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ รำมวยจีน จะช่วยลดอาการปวดหลังจากการทำงาน
6.) ออกกำลังบริหารร่างกาย ป้องกันอาการปวดหลังอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถึงแม้ในปัจจุบัน
ยังไม่มีอาการปวดหลัง
7.) ปรึกษาแพทย์และรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มมีอาการ หรือสังเกตุเห็นความผิดปกติ
การบริหารร่างกายป้องกันอาการปวดหลัง
1. ประโยชน์
1.1 ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวไม่เกร็ง และแข็งแรงอยู่เสมอ
1.2 กระดูกและข้อเสื่อมช้าลง
2. หลักการ
2.1 เป็นการออกกำลังบริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หน้าท้อง หลัง
ตะโพก และต้นขา และเพื่อยึดกล้ามเนื้อด้านหลังของหลังและขา
2.2 ควรออกกำลังบริหารด้วยความตั้งใจ ทำช้า ๆ ไม่หักโหม บริหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
เช้า – เย็น และในแต่ละท่าการบริหารทำประมาณ 10 ครั้ง
2.3 ท่าบริหารท่าใดท่าที่ทำแล้วมีอาการปวดหลังมากขึ้น ให้งดทำในท่านั้น ๆ
3. ท่าการบริหารป้องกันอาการปวดหลัง
ท่าเตรียมบริหาร
นอนหงายบนที่ราบ ศรีษะหนุนหมอน ขาเหยียดตรง มือวางข้างลำตัว
ท่าที่ 1 ยืดกล้ามเนื้อด้านหลังของขา
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้นและวางเท้าราบกับพื้น ส่วนขาอีกข้างหนึ่งเหยียดตรง
วางราบกับพื้น ยกขาที่เหยียดตรงนี้ขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่ยกได้ โดยแผ่นหลังแนบกับพื้นตลอดเวลา
ไม่เคลื่อนไหว แล้วจึงค่อย ๆ วางขานี้ลงราบกับพื้นเหมือนเดิม พักสักครู่ ทำประมาณ 10 ครั้ง
แล้วจึงสลับบริหารขากอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
ท่าที่ 2 เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องและตะโพก และลดความแอ่น
ของหลัง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าทั้งสองข้างขึ้น วางเท้าราบกับพื้น หายใจเข้าและออกช้า ๆ
พร้อมกับแขม่วหน้าท้อง กดหลังให้ติดแนบกับพื้น และเกร็งกล้ามเนื้อก้น [ขณะเกร็งกล้ามเนื้อก้น
ก้นจะยกลอยขึ้น] ทำค้างไว้นานนับ 1-5 หรือ 5 วินาที และจึงคล้าย พักสักครู่และทำใหม่ในลักษณะ
เดียวกัน 10 ครั้ง
ท่าที่ 3 ยืดกล้ามเนื้อหลัง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าทั้งสองข้างเอามือกอดเข่าเข้ามาให้ชิดอก และยกศรีษะเข้ามา
ให้คางชิดเข่า ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ และเริ่มบริหารใหม่ในลักษณะ
เดียวกัน ทำประมาณ 10 ครั้ง
ท่าที่ 4 ยืดกล้ามเนื้อตะโพก
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร เอามือกอดเข่าข้างหนึ่งเข้ามาให้ชิดอก พร้อมกับขาอีกข้างเหยียดตรง
เกร็งแนบกับพื้น ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึง
สลับบริหารขาอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
ท่าที่ 5 ยืดกล้ามเนื้อสีข้าง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้นหันเข้าด้านในของลำตัว พร้อมกับใช้สันเท้า
ของอีกขาหนึ่งกอดเข่าที่ตั้งให้ติดพื้น โดยที่ไหล่ทั้งสองข้างติดพื้นตลอดเวลา ทำค้างไว้
นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ และเริ่มบริหารใหม่ ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึงสลับ
บริหารขาอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
สรุป
อาการปวดหลังสามารถป้องกันได้ในบางสาเหตุ ร่วมกับการบริหารร่างกายป้องกันอาการ
ปวดหลัง การรักษาในบางสาเหตุได้ผลมากน้อยเพียงไร ขึ้นกับปัจจัยส่งเสริมหลาย ๆ ประการ
การรักษาที่ถูกวิธีกับแพทย์เป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับท่าน ขอให้ท่านมีสุขภาพหลังที่แข็งแรงอยู่เสมอ
โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการปวดหลัง พบได้ตั้งแต่วัยหนุ่ม
สาวเป็นต้นไป เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เอง แต่อาจเป็นๆ หาย ๆ
เรื้อรังได้
สาเหตุ
มักเกิดจากการทำงานก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก นั่ง ยืน นอน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง
ใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไป ทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลัง
ส่วนล่าง ซึ่งจะมีอาการเกร็งตัว ทำให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง คนที่อ้วน หรือ
หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดหลังได้เช่นกัน
อาการ
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง (ตรงบริเวณกระเบนเหน็บ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเฉียบพลัน
หรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า การไอ
จาม หรือบิดตัว เอี้ยวตัวอาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแข็งแรงดี และไม่มี
อาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย
สิ่งตรวจพบมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร
การรักษา
1. สังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร แล้วแก้ไขเสีย เช่น ถ้าปวดหลังตอนตื่นนอน ก็อาจเกิดจากที่
นอนนุ่มไป หรือนอนเตียงสปริง ก็แก้ไขโดยนอนบนที่แข็งและเรียบแทนถ้าปวดหลังตอนเย็น
ก็มักจะเกิดจากการนั่งตัวงอตัวเอียง หรือใส่รองเท้าส้นสูง ก็พยายามนั่งให้ถูกท่า หรือเปลี่ยน
เป็นรองเท้าธรรมดาแทน ถ้าอ้วนไป ควรพยายามลดน้ำหนัก
2. ถ้ามีอาการปวดมาก ให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก
สักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่อง หรือน้ำมันระกำทานวด หรือใช้น้ำอุ่นประคบก็ได้
ถ้าไม่หาย ก็ให้ยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน, พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด จะกินควบกับ
ไดอะซีแพมขนาด 2 มก.ด้วยก็ได้
ถ้ายังไม่หาย อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น เมโทคาร์บา มอล , คาริโซม่า ครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำ
ได้ทุก 6-8 ชั่วโมง
ผู้ป่วยควรนอนที่นอนแข็ง และหมั่นฝึก กายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง
3. ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือมีอาการชาที่ขา หรือขาไม่มีแรง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำ ผู้ป่วยไป
โรงพยาบาล อาจ ต้องเอกซเรย์หลัง หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตาม สาเหตุที่พบ
ข้อแนะนำ
อาการปวดหลังแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในหมู่ชาวไร่ชาวนา กรรมกรที่ทำงานหนัก และใน
หมู่คนที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่า เป็นอาการของโรคไต โรคกษัย และซื้อ
ยาชุด ยาแก้กษัย หรือยาแก้โรคไต กินอย่างผิด ๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้น
จึงควรแนะนำชาวบ้านเข้าใจถึง สาเหตุของอาการปวดหลัง และควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น
โดยทั่วไป การปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อมักจะปวดตรงกลางหลัง ส่วนโรคไตมักจะปวดที่สีข้าง
และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น หรือปัสสาวะขุ่นหรือแดงร่วมด้วย
การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยระวังรักษาท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ ให้ถูกต้อง หมั่นออกกำลัง
กล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ และนอนบนที่นอนแข็ง
โรคปวดหลังป้องกันได้ไม่ยากBack pain
โรคปวดหลังพบได้บ่อยรองจากโรคปวดหัว เมื่อคุณอายุมากอาจ จะต้อง
เผชิญกับโรคนี้ คิดป้องกันตอนนี้จะได้ไม่เป็นโรคปวดหลัง
สาเหตุของการปวดหลังนั้นมีมากมาย ขึ้นกับอายุของผู้ป่วย ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคน
ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากการอักเสบของเอ็น และกล้ามเนื้อบริเวณสันหลัง อาจเกิดจากการ
จัดท่าทางของร่างกายไม่ถูกต้อง เช่น นั่งหลังงอ, เดินหลังโก่ง หรือยกของหนักผิดวิธี ฯลฯ
การรักษาจึงเป็นเพียงการรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ แก้ปวด
การจัดท่าทางให้ถูกต้องและการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ก็จะเพียงพอ
ยังมีสาเหตุของการปวดหลังในวัยหนุ่มสาว และกลางคนที่พบได้ไม่น้อยเลยคือ
หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทขา ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดหลังส่วนล่าง
ปวดตะโพก ส่วนใหญ่จะร้าวลงขา มีบางรายอาจจะไม่ร้าวลงถึงต้นขา แต่อาการปวดจะ
ยังคงอยู่แค่บริเวณตะโพกและหลังเท่านั้น ในรายเช่นนี้ อาการปวดมักจะเป็นมากขึ้น
เมื่อก้มหรือ ไอ , จาม และดีขึ้นเมื่อได้นอนราบ
ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มีอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนี้ สามารถวินิจฉัยได้จากการ
ซักถามประวัติและตรวจร่างกาย, มีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและการทำกายภาพบำบัด
ค่อนข้างดี มีบางส่วนเท่านั้นที่อาการไม่ดีขึ้น ซึ่งต้องได้รับการยืนยันการวินิจฉัยโรค ด้วยการ
เอ็กซเรย์พิเศษอาจจะเป็นการฉีดสีเข้าบริเวณไขสันหลัง (Myelogram) หรือการเอ็กซเรย์
คอมพิวเตอร์แม่เหล็ก (MRI) ก็ได้ เมื่อยืนยันการวินิจฉัยได้แล้ว ก็สามารถให้การรักษาในขั้น
ต่อไปได้ โดยอาจจะเป็นการฉีดยาเข้าบริเวณไขสันหลังหรือการผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกที่
ทับเส้นประสาทนั้นออก
ส่วนในวัยสูงอายุ อาการปวดหลังมักมีสาเหตุจากการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลัง
เช่นกระดูกสันหลังงอกดทับเส้นประสาท Go Di La Wi Ji หรือมีการเคลื่อนตัวของข้อกระดูกสันหลังออกจาก
ตำแหน่งเดิม ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติ, ตรวจร่างกาย และเอ็กซเรย์
การรักษาเบื้องต้นก็ยังคงเป็นการรับประทานยา, ใส่เสื้อรัดเอว, ทำกายภาพบำบัดเสียก่อน
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากขึ้น ก็อาจจะพิจารณาเรื่องการผ่าตัดรักษา
สาเหตุอื่นๆส่วนน้อย ที่ทำให้มีอาการปวดหลังได้ ก็คือ ปวดจากการร้าวของอวัยวะของ
ช่องท้อง เช่น นิ่วที่ไต, ตับอ่อนอักเสบ ฯลฯ ซึ่งพบไม่บ่อยนัก จากประวัติอาการปวด, ตรวจ
ร่างกาย, เอ็กซเรย์
รวมถึงการตรวจทางห้องทดลอง (เลือด, ปัสสาวะ) ก็สามารถให้การวินิจฉัยได้ถูกต้อง
พอสมควรอยู่แล้ว
สาเหตุ โรคปวดหลังนั้นมีมากมาย ได้แก่
โดยกำเนิด, อุบัติเหตุ, เนื้องอก, ติดเชื้อ, อักเสบ, โรคเมตาบอลิก, โรคในช่องท้อง, โรค
กระดูกสันหลังเสื่อม แต่สาเหตุที่เป็นกันมาก และ สามารถป้องกันรักษาได้ คือ โรคกระดูก
สันหลังเสื่อม น้ำหนักตัวมาก ท่าทางไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกายทำให้ลงพุง
เอวแอ่นมาก
คนที่ลงพุง น้ำหนักที่มากขึ้นคูณกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อ หลังต้อง
ออกแรงดึง มากขึ้น การดึงเป็นเวลานานๆ ทำให้กระดูกสันหลัง เสื่อมเร็ว ทำให้ปวดหลังได้
ท่าทางที่ไม่เหมาะสม หลังจะค่อมทำให้เอวแอ่นมากขึ้น การที่เอว แอ่นมากขึ้น ทำให้ช่อง
ทางออก ของเส้นประสาท แคบลง เส้นประสาท ถูกเบียดมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ปวดหลัง
เอวแอ่นอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลย์กัน จึงเกิดการเสื่อม
ของหมอนรอง กระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมตามมา
การรักษา ที่ดีที่สุด คือ ป้องกันสาเหตุ ได้แก่
1. ลดน้ำหนักตัว ไม่ใช่การอดอาหาร แต่เป็นการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่งดเว้นการกินอาหาร
ที่มีแคลอรี่สูง มากเกิน ความจำเป็น เช่น ดื่มน้ำหวาน
2. ท่าทางเหมาะสม
ท่ายืน ที่ถูกต้อง คือ แขม่วท้องอกผายไหล่ผึ่งเอวแอ่นน้อยที่สุด ถ้าต้องยืนเป็นเวลานานควรมี
ที่พักเท้า การยืนห่อไหล่พุงยื่น ทำให้เอวแอ่น มากปวดหลังได้
ท่านั่ง ที่ถูกต้อง สันหลังตรงพิงพนัก เก้าอี้สูงพอดี และควรมีที่พักแขน การนั่งห่างจากโต๊ะ
มากทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมาก ที่นั่งที่เหมาะสม ที่สุดในการพักผ่อน ควรเอียง 60 องศา
จากแนวตั้ง มีส่วนหนุนหลัง มีที่วางแขน ทำด้วยวัสดุนุ่มแต่แน่น
ท่านั่งขับรถ ที่ถูกต้อง หลังพิงพนัก เข่างอเหนือระดับสะโพก การนั่งห่างเกินไป ทำให้เข่าต้อง
เหยียดออกกระดูกสันหลังตึง
ท่ายกของ ที่ถูกต้อง ควรย่อตัว ยกของให้ชิดตัว แล้วลุกด้วยกำลังขา การก้มลงหยิบของในลักษณะ
เข่าเหยียดตรง ทำให้ปวดหลังได้
ท่าถือของ ที่ถูกต้องควรให้ชิดตัวที่สุด การถือของห่างจากลำตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนัก
ปวดหลังได้
ท่าเข็นรถ ที่ถูกต้อง ควรดันไปข้างหน้า ออกแรงที่กล้ามท้อง การดึง ถอยหลังจะออกแรงที่กล้ามเนื้อ
หลังเป็นเหตุให้ปวดหลัง
ท่านอน ที่นอน ควรจะแน่น ยุบตัวน้อยที่สุด ไม่ควรใช้ฟูกฟองน้ำ หรือเตียงสปริง เพราะหลัง จะจม
อยู่ในแอ่ง ทำให้กระดูกสันหลังแอ่น มากปวดหลังได้
นอนคว่ำ จะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากที่สุด โดยเฉพาะระดับเอว ทำให้ปวดหลังได้
นอนหงาย ทำให้หลังแอ่นได้เล็กน้อย ควรใช้หมอนข้างใบใหญ่ หนุนใต้ โคนขา จะช่วยให้กระดูก
สันหลังไม่แอ่น
นอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดี ควรให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอ สะโพก และเข่ากอดหมอนข้าง
3. การออกกำลังกาย
กระดูกสันหลังปกติรับน้ำหนักมากอาจหลุดได้ แต่นักกีฬายกน้ำหนัก ได้มาก เพราะมีกล้ามเนื้อท้อง
แข็งแรง เปรียบเสมือนมีลูกบอลคอยช่วย รับน้ำหนักไว้ การออกกำลังกายที่จำเป็นต้องทำเป็นประจำ
ปวดหลัง Back pain:
จาก หน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพคลีนิค ผู้ป่วยนอก ออร์โทบิดิกส์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
จารุณี นันทวโนทยาน รวบรวม ร.ศ. นพ. วิเชียร เลาหเจริญสมบัติ ที่ปรีกษา
ปวดหลัง-ปวดเอว เป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน จากสถิติ มนุษย์ร้อยละ 80 เคยมี
ประสบการณ์การปวดหลัง-ปวดเอว อาการปวดจะแสดงได้ต่าง ๆ กัน บางท่านอาจปวดเฉพาะ
บริเวณหลังหรือกระเบนเหน็บ หรือบางท่านอาจปวดหลัง และร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง
สองข้างและมีอาการชาร่วมด้วยจนเดินไม่ได้ก็มี
หลังที่สมบูรณ์แข็งแรงจะยืดหยุ่นและไม่ปวดมีการทำงานของระบบโครงสร้าง คือ
กระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกกล้ามเนื้อและเอ็นอย่างเหมาะสม และปกป้องอันตรายไม่ให้เกิด
กับประสาทไขสันหลัง
สาเหตุอาการปวดหลัง
1.) การใช้กิริยาท่าทางต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันไม่ถูกต้อง
2.) ความเสื่อมของกระดูกและข้อจากวัยที่สูงขึ้น
3.) ขาดการออกกำลังกายหรือมีการเคลื่อนไหวที่จำกัด
4.) ความผิดปกติของกระดูกสันหลังแต่กำเนิด เช่น หลังคด หลังแอ่น
5.) การมีการอักเสบหรือติดเชื้อ เช่น วัณโรคของกระดูกสันหลัง
6.) การได้รับอุบัติเหตุ เช่น ตกจากที่สูง
7.) การมีเนื้องอกของประสาทไขสันหลังหรือมะเร็งที่แพร่กระจายมายังกระดูกสันหลัง
8.) อาการปวดร้าวมายังหลังจากโรคของอวัยวะในระบบอื่น ๆ เช่นนิ่วในไต เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน
9.) ปัญหาที่ทำให้เกิดความตึงเครียด และความวิตกกังวลในชีวิต
การป้องกันอาการปวดหลัง
1.) เรียนรู้การใช้กิริยาท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน
2.) หลีกเหลี่ยงการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน
3.) หลีกเหลี่ยงการใช้แรงงานมาก ๆ และรู้ถึงขีดจำกัดกำลังของตัวเองในการยกของหนัก
4.) ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน ซึ่งทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวต้องรับน้ำหนักมาก โดย
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับร่างกายให้ครบทุกประเภท
5.) บำรุงรักษาสุขภาพร่างกายทั่วไปให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ร่วมกับการออกกำลังกาย
กลางแจ้ง เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ รำมวยจีน จะช่วยลดอาการปวดหลังจากการทำงาน
6.) ออกกำลังบริหารร่างกาย ป้องกันอาการปวดหลังอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถึงแม้ในปัจจุบัน
ยังไม่มีอาการปวดหลัง
7.) ปรึกษาแพทย์และรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มมีอาการ หรือสังเกตุเห็นความผิดปกติ
การบริหารร่างกายป้องกันอาการปวดหลัง
1. ประโยชน์
1.1 ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวไม่เกร็ง และแข็งแรงอยู่เสมอ
1.2 กระดูกและข้อเสื่อมช้าลง
2. หลักการ
2.1 เป็นการออกกำลังบริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หน้าท้อง หลัง
ตะโพก และต้นขา และเพื่อยึดกล้ามเนื้อด้านหลังของหลังและขา
2.2 ควรออกกำลังบริหารด้วยความตั้งใจ ทำช้า ๆ ไม่หักโหม บริหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
เช้า – เย็น และในแต่ละท่าการบริหารทำประมาณ 10 ครั้ง
2.3 ท่าบริหารท่าใดท่าที่ทำแล้วมีอาการปวดหลังมากขึ้น ให้งดทำในท่านั้น ๆ
3. ท่าการบริหารป้องกันอาการปวดหลัง
ท่าเตรียมบริหาร
นอนหงายบนที่ราบ ศรีษะหนุนหมอน ขาเหยียดตรง มือวางข้างลำตัว
ท่าที่ 1 ยืดกล้ามเนื้อด้านหลังของขา
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้นและวางเท้าราบกับพื้น ส่วนขาอีกข้างหนึ่งเหยียดตรง
วางราบกับพื้น ยกขาที่เหยียดตรงนี้ขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่ยกได้ โดยแผ่นหลังแนบกับพื้นตลอดเวลา
ไม่เคลื่อนไหว แล้วจึงค่อย ๆ วางขานี้ลงราบกับพื้นเหมือนเดิม พักสักครู่ ทำประมาณ 10 ครั้ง
แล้วจึงสลับบริหารขากอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
ท่าที่ 2 เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องและตะโพก และลดความแอ่น
ของหลัง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าทั้งสองข้างขึ้น วางเท้าราบกับพื้น หายใจเข้าและออกช้า ๆ
พร้อมกับแขม่วหน้าท้อง กดหลังให้ติดแนบกับพื้น และเกร็งกล้ามเนื้อก้น [ขณะเกร็งกล้ามเนื้อก้น
ก้นจะยกลอยขึ้น] ทำค้างไว้นานนับ 1-5 หรือ 5 วินาที และจึงคล้าย พักสักครู่และทำใหม่ในลักษณะ
เดียวกัน 10 ครั้ง
ท่าที่ 3 ยืดกล้ามเนื้อหลัง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าทั้งสองข้างเอามือกอดเข่าเข้ามาให้ชิดอก และยกศรีษะเข้ามา
ให้คางชิดเข่า ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ และเริ่มบริหารใหม่ในลักษณะ
เดียวกัน ทำประมาณ 10 ครั้ง
ท่าที่ 4 ยืดกล้ามเนื้อตะโพก
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร เอามือกอดเข่าข้างหนึ่งเข้ามาให้ชิดอก พร้อมกับขาอีกข้างเหยียดตรง
เกร็งแนบกับพื้น ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึง
สลับบริหารขาอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
ท่าที่ 5 ยืดกล้ามเนื้อสีข้าง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้นหันเข้าด้านในของลำตัว พร้อมกับใช้สันเท้า
ของอีกขาหนึ่งกอดเข่าที่ตั้งให้ติดพื้น โดยที่ไหล่ทั้งสองข้างติดพื้นตลอดเวลา ทำค้างไว้
นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ และเริ่มบริหารใหม่ ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึงสลับ
บริหารขาอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
สรุป
อาการปวดหลังสามารถป้องกันได้ในบางสาเหตุ ร่วมกับการบริหารร่างกายป้องกันอาการ
ปวดหลัง การรักษาในบางสาเหตุได้ผลมากน้อยเพียงไร ขึ้นกับปัจจัยส่งเสริมหลาย ๆ ประการ
การรักษาที่ถูกวิธีกับแพทย์เป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับท่าน ขอให้ท่านมีสุขภาพหลังที่แข็งแรงอยู่เสมอ
โรค ปลายประสาทอักเสบ... โรคฮิตของคนทำงาน
มีเพื่อนรุ่นน้อง(ผู้หญิง)คนหนึ่งทำงานด้านบัญชี และงานของเธอก็ใช้คอมพิวเตอร์มานานประมาณ 7 ปีเมื่อหลายเดือนก่อนเธอเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างมากแต่ก็ไม่เอะใจเพราะคิดว่าคงนั่งทงานอยู่หน้าคอมมากเกินไปเธอก็ไปนวด(แผนโบราณค่ะ) เพื่อให้เส้นสายมันคลายความตึงเครียด
นวดทีก็สบายทีผ่านไป 3 เดือน อาการปวดเมื่อยก็ยังเป็นๆหายๆและปวดเมื่อยมากขึ้นชาตามปลายนิ้ว และแขนย่างเข้าเดือนที่ 4 ปรากฏว่าเริ่มชามากขึ้น นานขึ้นและแล้วคืนวันหนึ่งขณะที่กำลังลุกขึ้นจากเตียงปรากฏว่าทรงตัวไม่ได้ มันอ่อนปวกเปียกไปหมด ปวดหัวอยากอาเจียนอ่านอะไรกว่าจะสะกดตัวหนังสือได้ก็นาน บวกเลขก็ช้าลงจึงกลับไปพบหมออีกคุณหมอสงสัยจึงซักประวัติชีวิตประจำวันอย่างละเอียดแล้วขอทำสแกน MRI ( ไม่แน่ใจว่าจำถูกหรือเปล่า)พบว่าปลายประสาทอักเสบอย่างรุนแรงเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง , น้ำในไขสันหลัง ข้อที่ 4 และ 5 ไม่มีคุณหมอให้ยามาทานผ่านไป 2 อาทิตย์ Bu Fo Mi Oa Tu อาการชาหายไปแต่ยังปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออยู่มาก จึงไปพบหมอกระดูที่ รพ.คุณหมอกระดูก ตรวจและซักประวัติก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไรนอกจากออกกำลังกายด้วยการเดินวันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเพราะมันอักเสบอย่างรุนแรงไปแล้วคงไม่กลับมาดีดังเดิมแน่ถ้ามาช้า มันจะชาไปทั้งแขนขา ปัสสาวะไม่ได้เลยทีเดียวสาเหตุมีเยอะแยะ เช่น ทำงานหนัก เครียดสาวออฟฟิศเป็นกันมากแต่ไม่ใช่จากการเครียดแต่เป็นเพราะนั่งทำงานในท่าทีไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆในแต่ละวันเพื่อน ๆ พี่ ๆ ระวังนะคะ..แต่ที่แน่ ๆ เป็นเพราะเครียด บวกกับการนั่งหน้า Computer นาน ๆไม่ได้พักค่ะ...จึงเกิดอาการเกร็งที่เริ่มมาจากคอ..ลงไปที่ไหล่...ลงไปที่กระดูกสันหลัง..และจะปวดเอว...ขอให้ทุกท่านพยายามลุกขึ้นจากเก้าอี้..และพยายามอย่าเครียดกับงานที่ทำอยู่นะคะ..มันไม่ดีต่อสุขภาพค่ะ...มีคนบอกว่าการทำงาน อย่าให้งานกินเรา มากกว่าเงินเดือนที่เราเอาไว้กินนะคะ..เป็นห่วงทุกคนค่ะ...
มหันตภัยกล่องโฟม
กล่องโฟมที่ร้านค้าเอามาใช้เค้าจะแกะจากถุงพลาสติกใหญ่ (กล่องโฟมจะเรียงซ้อนกันเป็นแถวๆ) แล้วหยิบใช้ใส่อาหารขายไม่มีการเช็ดล้างก่อน
เคยลองเอามือลูบดูกล่องโฟมใหม่ที่เพิ่งแกะจากถุงจะมีฝุ่นโฟมติดอยู่คิดว่าน่าจะมาจากการตัดโฟมจากโรงงาน
หลายคนคงจะรู้จัก โรคด่างขาว บางคนเรียกโรคสะเก็ดขาว มันก็โรคมะเร็งผิวหนังดีๆ นี่เอง เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเจอเพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี (เมื่อก่อนดื่ม เที่ยวด้วยกันเป็นประจำ) ก็เลยลงไปสนทนาปราศรัยในฐานะเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพรักและไม่ได้พบปะกันมานาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา
พี่คนนี้ลักษณะแกคล้ายๆ อี๊ด วงฟลาย แต่หน้าตาดีกว่า ลักษณะแบบนี้คงนึกออกนะว่าเป็นยังไง แต่พอคุย จ้องหน้ากันมากๆ แกก็อายๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เจอนานหลายปี
แต่ตอนนี้แกเป็นโรคด่างขาว ขึ้นทั้งปาก ทั้งศีรษะ กระทั่งมือ เต็มไปหมด
แกเล่าให้ฟังว่า เวลารับประทานอาหารทุกมื้อ ลูกน้องจะเป็นผู้ไปซื้ออาหารมาให้
คือพี่แกเป็นคนรับประทานอะไรง่ายๆ อาหารทุกอย่างจะใส่กล่องโฟมมาตลอด
แกบอกรับประทานอาหารที่ใส่กล่องโฟมแบบนี้ทุกมื้อเป็นเวลาประมาณ 2 ปี
เท่านั้นแหละ โรคด่างขาวมันอาละวาด ลุกลามเต็มตัว และรวดเร็วมาก ทุกวันนี้ต้องไปโรงพยาบาลศิริราช
แพทย์จะให้ยามาทาหลอดหนึ่งราคา 1,800.- บาท รักษามา 6 เดือนแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นมาก
ตั้งแต่นั้นมา แกบอกว่า เวลาลูกน้องไปซื้ออาหาร ห้ามใส่กล่องโฟมโดยเด็ดขาด ให้ใส่ถุงพลาสติคเพียงอย่างเดียว
ซึ่งแพทย์บอกว่า ถุงพลาสติคยังไม่ค่อยอันตรายเท่าไร เพราะกล่องโฟมเวลาโดนอาหารร้อนๆ จะมีสารชนิดหนึ่งละลายออกมา
อยู่ในอาหารในกล่อง พอเรารับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย
นวดทีก็สบายทีผ่านไป 3 เดือน อาการปวดเมื่อยก็ยังเป็นๆหายๆและปวดเมื่อยมากขึ้นชาตามปลายนิ้ว และแขนย่างเข้าเดือนที่ 4 ปรากฏว่าเริ่มชามากขึ้น นานขึ้นและแล้วคืนวันหนึ่งขณะที่กำลังลุกขึ้นจากเตียงปรากฏว่าทรงตัวไม่ได้ มันอ่อนปวกเปียกไปหมด ปวดหัวอยากอาเจียนอ่านอะไรกว่าจะสะกดตัวหนังสือได้ก็นาน บวกเลขก็ช้าลงจึงกลับไปพบหมออีกคุณหมอสงสัยจึงซักประวัติชีวิตประจำวันอย่างละเอียดแล้วขอทำสแกน MRI ( ไม่แน่ใจว่าจำถูกหรือเปล่า)พบว่าปลายประสาทอักเสบอย่างรุนแรงเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง , น้ำในไขสันหลัง ข้อที่ 4 และ 5 ไม่มีคุณหมอให้ยามาทานผ่านไป 2 อาทิตย์ Bu Fo Mi Oa Tu อาการชาหายไปแต่ยังปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออยู่มาก จึงไปพบหมอกระดูที่ รพ.คุณหมอกระดูก ตรวจและซักประวัติก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไรนอกจากออกกำลังกายด้วยการเดินวันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเพราะมันอักเสบอย่างรุนแรงไปแล้วคงไม่กลับมาดีดังเดิมแน่ถ้ามาช้า มันจะชาไปทั้งแขนขา ปัสสาวะไม่ได้เลยทีเดียวสาเหตุมีเยอะแยะ เช่น ทำงานหนัก เครียดสาวออฟฟิศเป็นกันมากแต่ไม่ใช่จากการเครียดแต่เป็นเพราะนั่งทำงานในท่าทีไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆในแต่ละวันเพื่อน ๆ พี่ ๆ ระวังนะคะ..แต่ที่แน่ ๆ เป็นเพราะเครียด บวกกับการนั่งหน้า Computer นาน ๆไม่ได้พักค่ะ...จึงเกิดอาการเกร็งที่เริ่มมาจากคอ..ลงไปที่ไหล่...ลงไปที่กระดูกสันหลัง..และจะปวดเอว...ขอให้ทุกท่านพยายามลุกขึ้นจากเก้าอี้..และพยายามอย่าเครียดกับงานที่ทำอยู่นะคะ..มันไม่ดีต่อสุขภาพค่ะ...มีคนบอกว่าการทำงาน อย่าให้งานกินเรา มากกว่าเงินเดือนที่เราเอาไว้กินนะคะ..เป็นห่วงทุกคนค่ะ...
มหันตภัยกล่องโฟม
กล่องโฟมที่ร้านค้าเอามาใช้เค้าจะแกะจากถุงพลาสติกใหญ่ (กล่องโฟมจะเรียงซ้อนกันเป็นแถวๆ) แล้วหยิบใช้ใส่อาหารขายไม่มีการเช็ดล้างก่อน
เคยลองเอามือลูบดูกล่องโฟมใหม่ที่เพิ่งแกะจากถุงจะมีฝุ่นโฟมติดอยู่คิดว่าน่าจะมาจากการตัดโฟมจากโรงงาน
หลายคนคงจะรู้จัก โรคด่างขาว บางคนเรียกโรคสะเก็ดขาว มันก็โรคมะเร็งผิวหนังดีๆ นี่เอง เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเจอเพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี (เมื่อก่อนดื่ม เที่ยวด้วยกันเป็นประจำ) ก็เลยลงไปสนทนาปราศรัยในฐานะเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพรักและไม่ได้พบปะกันมานาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา
พี่คนนี้ลักษณะแกคล้ายๆ อี๊ด วงฟลาย แต่หน้าตาดีกว่า ลักษณะแบบนี้คงนึกออกนะว่าเป็นยังไง แต่พอคุย จ้องหน้ากันมากๆ แกก็อายๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เจอนานหลายปี
แต่ตอนนี้แกเป็นโรคด่างขาว ขึ้นทั้งปาก ทั้งศีรษะ กระทั่งมือ เต็มไปหมด
แกเล่าให้ฟังว่า เวลารับประทานอาหารทุกมื้อ ลูกน้องจะเป็นผู้ไปซื้ออาหารมาให้
คือพี่แกเป็นคนรับประทานอะไรง่ายๆ อาหารทุกอย่างจะใส่กล่องโฟมมาตลอด
แกบอกรับประทานอาหารที่ใส่กล่องโฟมแบบนี้ทุกมื้อเป็นเวลาประมาณ 2 ปี
เท่านั้นแหละ โรคด่างขาวมันอาละวาด ลุกลามเต็มตัว และรวดเร็วมาก ทุกวันนี้ต้องไปโรงพยาบาลศิริราช
แพทย์จะให้ยามาทาหลอดหนึ่งราคา 1,800.- บาท รักษามา 6 เดือนแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นมาก
ตั้งแต่นั้นมา แกบอกว่า เวลาลูกน้องไปซื้ออาหาร ห้ามใส่กล่องโฟมโดยเด็ดขาด ให้ใส่ถุงพลาสติคเพียงอย่างเดียว
ซึ่งแพทย์บอกว่า ถุงพลาสติคยังไม่ค่อยอันตรายเท่าไร เพราะกล่องโฟมเวลาโดนอาหารร้อนๆ จะมีสารชนิดหนึ่งละลายออกมา
อยู่ในอาหารในกล่อง พอเรารับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย
ลูกชิ้นปลาเรืองแสง สุดอร่อย แต่ไม่รับรองสุขภาพ
เพื่อนส่งมาให้ เห็นว่า มีประโยชน์กับคนที่ชอบทาน ลูกชิ้นปลา ให้ทดสอบซื้อกลับบ้านก่อนนะคะ ถ้าอร่อยไม่เรืองแสง ให้บอกชื่อร้านและแผนที่ด้วย จะรีบไปทาน แต่คงต้องซื้อกลับมาตรวจก่อน ก่อนจะเป็นขาประจำ เรื่องจริงจากประสบการณ์สาวออฟฟิต คนที่ชอบทานลูกชิ้นปลาต้องอ่านจะค่ะ ดิฉันทำงานแถว ราษฎร์บูรณะ คนแถวนี้ส่วนใหญ่คงเคยไปทานลูกชิ้นปลาชื่อดัง แล้ว ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ลองมา 2-3ครั้งแล้วซึ่งยอมรับว่า ประทับใจอร่อยมาก ถึงแม้ราคาจะแพงไปสักหน่อยบังเอิญวันนี้ทานแล้วอยากซื้อกลับไปทานที่บ้านด้วย จึงซื้อลูกชิ้นกลับบ้านคนละครึ่งกิโลกรัมกับเพื่อนอีก 2 คน(กิโลละ 180 บาท)พอถึงบ้าน ถือถุงลูกชิ้นเข้าบ้าน
โดยยังไม่เปิดไฟในบ้าน....ไสยศาสตร์มีจริง ตกใจมาก ลูกชิ้นเปลี่ยนไป กลายเป็นลูกชิ้น บางเพลง คือเรืองแสงเหมือนนีออนหลอดไฟ จึงรีบโทรให้เพื่อนที่ซื้อลูกชิ้นไปเหมือนกันทดสอบดู .... โป๊ะเชะได้ผลเหมือนกันเลยจริง ๆ แล้วเป็นวิทยาศาสตร์ค่ะ คือลูกชิ้นใส่สารเรืองแสงสารฟอกขาวเพื่อให้ลูกชิ้นขาวน่ากิน แต่อันตรายมากเลยไม่ต้องเชื่อก็ได้ค่ะ แต่อยากให้ลองทดสอบดู สารเรืองแสงหากมนุษย์บริโภคเข้าไป จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรค และยังเป็นตัวเร่งกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเติบโตเร็วขึ้นรวดเร็ว ก็ลองเชิญมาท้าพิสูจน์ดูก็ดีค่ะ แต่ก็อาจทำให้ต้องอดกินลูกชิ้นร้านนี้อีกก็ได้
ปัญหาเด็กติดเกมส์ แล้วไม่ยอมไปเรียนหนังสือ ปัญหาระดับชาติ
ดิฉันมีประสพการณ์ ที่ลูกตัวเอง ติดเกมส์ ไม่ยอมไปเรียนหนังสือ หลังจากประสพปัญหา จึงได้ศึกษา สอบถามเพื่อน ญาติ คนรู้จัก จึงทราบว่า แทบทุกคนจะประสพปัญหาเรื่องลูกติดเกมส์ จากที่ศึกษาเอง และ ถามจิตแพทย์ รวมถึงคนมีประสพการณ์ ขอสรุป พฤติกรรม ของเด็กติดเกมส์ ได้ดังนี้
เด็กจะเริ่มมีปัญหามากเมื่อเรียน ม .1-3 เพราะ เริ่มเป็น วัยรุ่น มีความคิดเป็นของตนเอง ฮอโมน ในตัวเองเปลี่ยนแปลง ร่างกายเปลี่ยนแปลงจะเป็นผุ้ใหญ่
เด็ก จะชอบอยู่คนเดียว เก็บตัว พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจาก ที่เป็นเด็กน่ารัก ว่านอนชอบง่าย จะก้าวร้าว ไม่ค่อยยาก จะพูดจากับพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง
วันๆ เอาแต่ เล่นเกมส์ ที่รุนแรง
ไม่สนใจเรียน ไม่ทำการบ้าน ไม่ทำงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นปัญหา หลักที่ทำให้ไม่ยอมไปเรียนหนังสือ
หมอจิตวิทยา เขาว่า เด็กที่ติดเกมส์ มากๆ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมั่นใจตนเอง รู้สึกว่า ตนเองจะแพ้ อยู่เรื่อยไปในชีวิตจริง จึงจะพยายามเอาชนะ ในเกมส์ที่เล่น แต่สุดท้ายจะทำให้อนาคต ดับวูบ เพราะ มีหลายคน ออกจากโรงเรียน เนื่องจาก สอบตก หรือถูกให้ออก หลายคนกลับตัวได้แต่ต้องเสียเวลาเรียนซ้ำชั้น
มีคนแนะนำวิธี ป้องกันแก้ไข ดังนี้
เอาใจใส่ ลูกที่กำลังจะเป็นวัยรุ่นมาก ให้ความรัก ให้เวลามาก Sh Al La Fo Am อย่าบังคับ อธิบายด้วยเหตุผลเพราะ เขาโตแล้ว เขาจะเชื่อเพื่อนมากกว่าเรา
หมั่น ตรวจงาน การบ้าน แบบ อ้อมๆ อย่าให้เขารู้ตัว เพื่อมั่นใจว่า เขา ยังทำการบ้านงานที่ได้มอบหมายจากครู เป็นปกติ ถ้า ไม่ทำ จะเป็นต้นเหตุของปัญหา ไม่ยอมไปโรงเรียน ต้องตรวจสอบผลการสอบด้วย ถ้าตกต่ำผิดปกติ ต้องหาสาเหตุ อาจจะเกิดจากการติดเกมส์จนไม่สนใจเรียน ต้องรีบแก้ไข
ให้เล่นเกมส์เป็นเวลา อย่า บังคับโดยไม่ให้เล่น เพราะ จะถูกต่อต้าน
สอบถามปัญหา ต่างๆ ว่า มีปัญหาอะไรไหม บอกเขาว่าพ่อแม่ ช่วยได้นะ
พยายามร่วมกิจกรรมกับโรงเรียน โทรหา ครู ประจำชั้น สอบถามความก้าวหน้า ปัญหาของลูกเรา ถ้ามีปัญหา เพื่อนแกล้ง กลัวครูบางคน ส่งงานไม่ทัน ไม่สุงสิงกับเพื่อน ต้องแก้ไขด่วน
ถ้ามีปัญหา ควร ไปปรึกษา ครูประจำชั้น ครูแนะแนว มีปัญหามาก ต้องหาไปปรึกษาจิตแพทย์ หา ปมปัญหา เพราะ ถ้าปล่อยไว้ เด็กจะมีปัญหามาก บางคน ทำร้าย พ่อแม่ พี่น้อง ญาติหรือ บุคคลอื่น ได้
มีหลายคนแนะนำการแก้ปัญหาที่ได้ผลอาทิ
ให้พักการเรียน หางานประจำที่ลำบากให้ทำ เด็กจะเรียนรู้จากชีวิตจริงและอยากกลับไปเรียน และเล่นเกมส์น้อยลง
หางานอดิเรก ให้ทำ เช่น เลี้ยงสัตว์ ปลุกต้นไม้ เขาจะเล่นเกมสืน้อยลง
พาไปวัดทำสมาธิ ซึ่งดีมาก เด็กจะมีสมาธิในการเรียน อาจเลิกเล่นเกมส์เลย
ใคร มีประสพการณ์ ปัญหา วิธีแก้ ช่วย แนะนำ ด้วยนะคะ ปัญหา เด็กติดเกมส์ไม่ไปเรียนหนังสือ เป็นปัญหา ใหญ่ ที่ทำให้พ่อแม่ ทุกข์ ทรมานมาก เป็นปัญหาระดับชาติเพราะ ประเทศเราต้องสูญเสีย เยาวชน ที่จะเป็นกำลังของชาติ ในอนาคต
โดยยังไม่เปิดไฟในบ้าน....ไสยศาสตร์มีจริง ตกใจมาก ลูกชิ้นเปลี่ยนไป กลายเป็นลูกชิ้น บางเพลง คือเรืองแสงเหมือนนีออนหลอดไฟ จึงรีบโทรให้เพื่อนที่ซื้อลูกชิ้นไปเหมือนกันทดสอบดู .... โป๊ะเชะได้ผลเหมือนกันเลยจริง ๆ แล้วเป็นวิทยาศาสตร์ค่ะ คือลูกชิ้นใส่สารเรืองแสงสารฟอกขาวเพื่อให้ลูกชิ้นขาวน่ากิน แต่อันตรายมากเลยไม่ต้องเชื่อก็ได้ค่ะ แต่อยากให้ลองทดสอบดู สารเรืองแสงหากมนุษย์บริโภคเข้าไป จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรค และยังเป็นตัวเร่งกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเติบโตเร็วขึ้นรวดเร็ว ก็ลองเชิญมาท้าพิสูจน์ดูก็ดีค่ะ แต่ก็อาจทำให้ต้องอดกินลูกชิ้นร้านนี้อีกก็ได้
ปัญหาเด็กติดเกมส์ แล้วไม่ยอมไปเรียนหนังสือ ปัญหาระดับชาติ
ดิฉันมีประสพการณ์ ที่ลูกตัวเอง ติดเกมส์ ไม่ยอมไปเรียนหนังสือ หลังจากประสพปัญหา จึงได้ศึกษา สอบถามเพื่อน ญาติ คนรู้จัก จึงทราบว่า แทบทุกคนจะประสพปัญหาเรื่องลูกติดเกมส์ จากที่ศึกษาเอง และ ถามจิตแพทย์ รวมถึงคนมีประสพการณ์ ขอสรุป พฤติกรรม ของเด็กติดเกมส์ ได้ดังนี้
เด็กจะเริ่มมีปัญหามากเมื่อเรียน ม .1-3 เพราะ เริ่มเป็น วัยรุ่น มีความคิดเป็นของตนเอง ฮอโมน ในตัวเองเปลี่ยนแปลง ร่างกายเปลี่ยนแปลงจะเป็นผุ้ใหญ่
เด็ก จะชอบอยู่คนเดียว เก็บตัว พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจาก ที่เป็นเด็กน่ารัก ว่านอนชอบง่าย จะก้าวร้าว ไม่ค่อยยาก จะพูดจากับพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง
วันๆ เอาแต่ เล่นเกมส์ ที่รุนแรง
ไม่สนใจเรียน ไม่ทำการบ้าน ไม่ทำงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นปัญหา หลักที่ทำให้ไม่ยอมไปเรียนหนังสือ
หมอจิตวิทยา เขาว่า เด็กที่ติดเกมส์ มากๆ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมั่นใจตนเอง รู้สึกว่า ตนเองจะแพ้ อยู่เรื่อยไปในชีวิตจริง จึงจะพยายามเอาชนะ ในเกมส์ที่เล่น แต่สุดท้ายจะทำให้อนาคต ดับวูบ เพราะ มีหลายคน ออกจากโรงเรียน เนื่องจาก สอบตก หรือถูกให้ออก หลายคนกลับตัวได้แต่ต้องเสียเวลาเรียนซ้ำชั้น
มีคนแนะนำวิธี ป้องกันแก้ไข ดังนี้
เอาใจใส่ ลูกที่กำลังจะเป็นวัยรุ่นมาก ให้ความรัก ให้เวลามาก Sh Al La Fo Am อย่าบังคับ อธิบายด้วยเหตุผลเพราะ เขาโตแล้ว เขาจะเชื่อเพื่อนมากกว่าเรา
หมั่น ตรวจงาน การบ้าน แบบ อ้อมๆ อย่าให้เขารู้ตัว เพื่อมั่นใจว่า เขา ยังทำการบ้านงานที่ได้มอบหมายจากครู เป็นปกติ ถ้า ไม่ทำ จะเป็นต้นเหตุของปัญหา ไม่ยอมไปโรงเรียน ต้องตรวจสอบผลการสอบด้วย ถ้าตกต่ำผิดปกติ ต้องหาสาเหตุ อาจจะเกิดจากการติดเกมส์จนไม่สนใจเรียน ต้องรีบแก้ไข
ให้เล่นเกมส์เป็นเวลา อย่า บังคับโดยไม่ให้เล่น เพราะ จะถูกต่อต้าน
สอบถามปัญหา ต่างๆ ว่า มีปัญหาอะไรไหม บอกเขาว่าพ่อแม่ ช่วยได้นะ
พยายามร่วมกิจกรรมกับโรงเรียน โทรหา ครู ประจำชั้น สอบถามความก้าวหน้า ปัญหาของลูกเรา ถ้ามีปัญหา เพื่อนแกล้ง กลัวครูบางคน ส่งงานไม่ทัน ไม่สุงสิงกับเพื่อน ต้องแก้ไขด่วน
ถ้ามีปัญหา ควร ไปปรึกษา ครูประจำชั้น ครูแนะแนว มีปัญหามาก ต้องหาไปปรึกษาจิตแพทย์ หา ปมปัญหา เพราะ ถ้าปล่อยไว้ เด็กจะมีปัญหามาก บางคน ทำร้าย พ่อแม่ พี่น้อง ญาติหรือ บุคคลอื่น ได้
มีหลายคนแนะนำการแก้ปัญหาที่ได้ผลอาทิ
ให้พักการเรียน หางานประจำที่ลำบากให้ทำ เด็กจะเรียนรู้จากชีวิตจริงและอยากกลับไปเรียน และเล่นเกมส์น้อยลง
หางานอดิเรก ให้ทำ เช่น เลี้ยงสัตว์ ปลุกต้นไม้ เขาจะเล่นเกมสืน้อยลง
พาไปวัดทำสมาธิ ซึ่งดีมาก เด็กจะมีสมาธิในการเรียน อาจเลิกเล่นเกมส์เลย
ใคร มีประสพการณ์ ปัญหา วิธีแก้ ช่วย แนะนำ ด้วยนะคะ ปัญหา เด็กติดเกมส์ไม่ไปเรียนหนังสือ เป็นปัญหา ใหญ่ ที่ทำให้พ่อแม่ ทุกข์ ทรมานมาก เป็นปัญหาระดับชาติเพราะ ประเทศเราต้องสูญเสีย เยาวชน ที่จะเป็นกำลังของชาติ ในอนาคต
ระมัดระวังในการเล่นกับสุนัข
เป็นสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับการเล่น หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันกับน้องหมา เพราะหญิงตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ การเคลื่อนไหวที่ช้าลง เดินไม่สะดวกและคล่องตัวเหมือนก่อน จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ในขณะที่เล่นกับน้องหมาได้ง่าย ...
ทุกครั้งที่หญิงตั้งครรภ์จะเล่นกับน้องหมา จึงจำเป็นที่จะต้องประเมินความเสี่ยง และระมัดระวังในการเล่นกับน้องหมาเพราะน้องหมาบางสายพันธุ์โดยเฉพาะน้องหมาพันธุ์ใหญ่มักจะชอบแสดงความรัก ความดีใจด้วยการกระโดดใส่เจ้าของ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์ ที่มีการทรงตัวและการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีเหมือนคนปกติ หากน้องหมากระโจนเข้าใส่ เพราะอยากเล่นด้วย ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหกล้มจนกระทบกระเทือนไปถึงลูกน้อยในท้องได้ค่ะ
ฉะนั้น ทางที่ดีผู้เลี้ยงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ก็ควรหลีกเลี่ยงการทำให้น้องหมาตื่นเต้น โดยหลีกเลี่ยงการใช้เสียงแหลมสูงที่ชวนให้น้องหมาตื่นตัว หรือเล่นแรง ๆ กับน้องหมา และต้องคอยห้ามทุกครั้งที่น้องหมาพยายามที่จะวิ่งเข้าหาหรือพยายามกระโจนใส่ ด้วยการใช้คำสั่งอย่าหยุด ด้วยเสียงโทนต่ำเพื่อบอกกับน้องหมาว่า การวิ่งเข้าหาหรือการจะกระโจนใส่เป็นสิ่งผิดที่ห้ามกระทำ แต่ถ้าหากน้องหมายังมีอาการตื่นเต้นอยู่ ก็ให้ผู้เลี้ยงเดินหลบ ทำเป็นไม่สนใจ ไม่มอง ไม่พูด ไม่สบตา และรอจนกว่าน้องหมาจะสงบหรือนั่งเรียบร้อย แล้วจึงค่อยเข้าไปหา ทักทายน้องหมาแบบเงียบ ๆ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ ลูบตัวลูบหัวน้องหมาพอประมาณ พร้อมกับพูดชื่นชมน้องหมาว่าทำดีแล้วเก่งมาก การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมาเข้าใจว่า การสงบนิ่ง หรือนั่งเรียบร้อยเท่านั้น ที่จะสามารถเรียกร้องความสนใจจากเราได้นั่นเองค่ะ
ส่วนสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์เล็ก เช่น ชิวาวา ปอมเมอเรเนียน พูเดิ้ล ยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ฯลฯ นั้น To Br Tu An Bu Ko Ve Ro Al Ca Do Ni Re Mc Na Al Wi L L L Fr Me Gu L L Sk Sh Dk Sk Fr Da Da Da Da Da Da Da Da Da Da Da Da Be Ma Mi Vi Na Tr Tr Te Ma No Th Cu Or Pa Si Fi Bo Da Br Wu Wu Fr Ip Ip Ji Wo Wo Bu Ma Bo Do Iv Va Br Di สามารถพาน้องหมาไปเดินเล่นออกกำลังกายได้ไม่เป็นอันตราย แต่ก็ควรระมัดระวังไม่ให้น้องหมาเลียหน้า ปาก หรือมือ และขอเน้นย้ำว่า หญิงตั้งครรภ์ควรหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งที่จับหรือสัมผัสตัวน้องหมา และล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารเพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ค่ะ
ดูแลน้องหมาให้มีสุขภาพดี
นอกจากที่หญิงตั้งครรภ์จะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลาแล้ว การดูแลน้องหมาให้มีสุขภาพดีก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ... โดยผู้เลี้ยงควรพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามโปรแกรมสุขภาพ และหมั่นพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เป็นประจำ อย่างน้อยทุก 6 เดือน เพราะว่าการพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพจะช่วยทำให้ผู้เลี้ยงรู้ถึงแนวโน้ม หรือความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลดีที่ทำให้ผู้เลี้ยงสามารถเตรียมรับมือ และรักษาน้องหมาได้อย่างทันท่วงทีหากตรวจพบโรคต่าง ๆ และที่สำคัญคือจะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้น้องหมาเป็นพาหะนําเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น โรคพิษสุนัขบ้า , โรคพยาธิท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) ที่มักพบอยู่ในอุจจาระของสุนัขและแมว ที่อาจติดต่อมาสู่ผู้เลี้ยงที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลให้ทารกพิการ แท้งหรือเสียชิวิตได้
นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงยังควรดูแลในเรื่องอาหารการกินสำหรับน้องหมา โดยควรเลือกให้อาหารที่มีคุณภาพ เลือกให้อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดสำหรับสุนัขให้กับน้องหมาจะดีที่สุด เพราะมีคุณค่าสารอาหารครบถ้วนเหมาะกับน้องหมา Ko Bo Sh Co Sh Le Wi Da Mi Bc Da Da Bo So We Ke Ch Bc Mi Ta La La Ch La Gu Fr Sk Ic Me Me Oa Ga Ar Go Gi Se Go Tr Al Am Am Fo Fo M M Ly Em An Tr Ni Ba Ro Fr Ro Ur An La Cl Sa Le Tr Tr Ba Nu Pe Ba Mi Mi Bo Ho Ju Tr St ควรหลีกเลี่ยงการให้สุนัขกินอาหารเปียก อาหารของคน หรืออาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ดิบ (BARF) เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้อาหารเน่าเสีย ที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ถ่ายเหลวและอาเจียนในน้องหมา ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ได้ค่ะ
ทีนี้เราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่า หญิงตั้งครรภ์นั้นสามารถเลี้ยงน้องหมาได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป เพียงแต่ต้องรักษาเรื่องความสะอาด และเลี้ยงน้องหมาอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเองค่ะ และในสัปดาห์หน้า คอลัมน์เทคนิคการเลี้ยงการดูแลก็จะมีบทความเกี่ยวกับการเลี้ยงน้องหมาร่วมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ
ทุกครั้งที่หญิงตั้งครรภ์จะเล่นกับน้องหมา จึงจำเป็นที่จะต้องประเมินความเสี่ยง และระมัดระวังในการเล่นกับน้องหมาเพราะน้องหมาบางสายพันธุ์โดยเฉพาะน้องหมาพันธุ์ใหญ่มักจะชอบแสดงความรัก ความดีใจด้วยการกระโดดใส่เจ้าของ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์ ที่มีการทรงตัวและการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีเหมือนคนปกติ หากน้องหมากระโจนเข้าใส่ เพราะอยากเล่นด้วย ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหกล้มจนกระทบกระเทือนไปถึงลูกน้อยในท้องได้ค่ะ
ฉะนั้น ทางที่ดีผู้เลี้ยงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ก็ควรหลีกเลี่ยงการทำให้น้องหมาตื่นเต้น โดยหลีกเลี่ยงการใช้เสียงแหลมสูงที่ชวนให้น้องหมาตื่นตัว หรือเล่นแรง ๆ กับน้องหมา และต้องคอยห้ามทุกครั้งที่น้องหมาพยายามที่จะวิ่งเข้าหาหรือพยายามกระโจนใส่ ด้วยการใช้คำสั่งอย่าหยุด ด้วยเสียงโทนต่ำเพื่อบอกกับน้องหมาว่า การวิ่งเข้าหาหรือการจะกระโจนใส่เป็นสิ่งผิดที่ห้ามกระทำ แต่ถ้าหากน้องหมายังมีอาการตื่นเต้นอยู่ ก็ให้ผู้เลี้ยงเดินหลบ ทำเป็นไม่สนใจ ไม่มอง ไม่พูด ไม่สบตา และรอจนกว่าน้องหมาจะสงบหรือนั่งเรียบร้อย แล้วจึงค่อยเข้าไปหา ทักทายน้องหมาแบบเงียบ ๆ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ ลูบตัวลูบหัวน้องหมาพอประมาณ พร้อมกับพูดชื่นชมน้องหมาว่าทำดีแล้วเก่งมาก การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมาเข้าใจว่า การสงบนิ่ง หรือนั่งเรียบร้อยเท่านั้น ที่จะสามารถเรียกร้องความสนใจจากเราได้นั่นเองค่ะ
ส่วนสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์เล็ก เช่น ชิวาวา ปอมเมอเรเนียน พูเดิ้ล ยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ฯลฯ นั้น To Br Tu An Bu Ko Ve Ro Al Ca Do Ni Re Mc Na Al Wi L L L Fr Me Gu L L Sk Sh Dk Sk Fr Da Da Da Da Da Da Da Da Da Da Da Da Be Ma Mi Vi Na Tr Tr Te Ma No Th Cu Or Pa Si Fi Bo Da Br Wu Wu Fr Ip Ip Ji Wo Wo Bu Ma Bo Do Iv Va Br Di สามารถพาน้องหมาไปเดินเล่นออกกำลังกายได้ไม่เป็นอันตราย แต่ก็ควรระมัดระวังไม่ให้น้องหมาเลียหน้า ปาก หรือมือ และขอเน้นย้ำว่า หญิงตั้งครรภ์ควรหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งที่จับหรือสัมผัสตัวน้องหมา และล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารเพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ค่ะ
ดูแลน้องหมาให้มีสุขภาพดี
นอกจากที่หญิงตั้งครรภ์จะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลาแล้ว การดูแลน้องหมาให้มีสุขภาพดีก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ... โดยผู้เลี้ยงควรพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามโปรแกรมสุขภาพ และหมั่นพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เป็นประจำ อย่างน้อยทุก 6 เดือน เพราะว่าการพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพจะช่วยทำให้ผู้เลี้ยงรู้ถึงแนวโน้ม หรือความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลดีที่ทำให้ผู้เลี้ยงสามารถเตรียมรับมือ และรักษาน้องหมาได้อย่างทันท่วงทีหากตรวจพบโรคต่าง ๆ และที่สำคัญคือจะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้น้องหมาเป็นพาหะนําเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น โรคพิษสุนัขบ้า , โรคพยาธิท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) ที่มักพบอยู่ในอุจจาระของสุนัขและแมว ที่อาจติดต่อมาสู่ผู้เลี้ยงที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลให้ทารกพิการ แท้งหรือเสียชิวิตได้
นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงยังควรดูแลในเรื่องอาหารการกินสำหรับน้องหมา โดยควรเลือกให้อาหารที่มีคุณภาพ เลือกให้อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดสำหรับสุนัขให้กับน้องหมาจะดีที่สุด เพราะมีคุณค่าสารอาหารครบถ้วนเหมาะกับน้องหมา Ko Bo Sh Co Sh Le Wi Da Mi Bc Da Da Bo So We Ke Ch Bc Mi Ta La La Ch La Gu Fr Sk Ic Me Me Oa Ga Ar Go Gi Se Go Tr Al Am Am Fo Fo M M Ly Em An Tr Ni Ba Ro Fr Ro Ur An La Cl Sa Le Tr Tr Ba Nu Pe Ba Mi Mi Bo Ho Ju Tr St ควรหลีกเลี่ยงการให้สุนัขกินอาหารเปียก อาหารของคน หรืออาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ดิบ (BARF) เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้อาหารเน่าเสีย ที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ถ่ายเหลวและอาเจียนในน้องหมา ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ได้ค่ะ
ทีนี้เราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่า หญิงตั้งครรภ์นั้นสามารถเลี้ยงน้องหมาได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป เพียงแต่ต้องรักษาเรื่องความสะอาด และเลี้ยงน้องหมาอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเองค่ะ และในสัปดาห์หน้า คอลัมน์เทคนิคการเลี้ยงการดูแลก็จะมีบทความเกี่ยวกับการเลี้ยงน้องหมาร่วมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ
ระบุ ไม่รักษา ตับจะทำงานผิดปกติส่งผลกระทบทั่วร่างกาย
ปัจจุบันไขมันพอตับกลายเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตับทำงานผิดปกติและอาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด จากข้อมูลทางคลินิกพบว่าคนอ้วนและผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำมีภาวะไขมันพอกตับสูงถึง 50%1 และ 57.7% ตามลำดับ ส่วนผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไปมีประมาณ 25% เป็นไขมันพอกตับ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ ไขมันพอกตับส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยจึงมักจะไม่รู้ตัวหรือไม่ใส่ใจในการรักษา
ไขมันพอกตับคืออะไร...
ไขมันพอกตับใช่ว่าจะมีไขมันพอกอยู่บนตับ หากแต่หมายถึง การสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ ทำให้ไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักเกิน 5% ของตับ ซึ่งจะทำให้ตับทำงานผิดปกติ ตับอักเสบและอาจพัฒนาเป็นตับแข็งในที่สุด ไขมันพอกตับสามารถแบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระยะ
- ระยะแรก: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักประมาณ 5-10% ของตับ
- ระยะกลาง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักประมาณ 10-25% ของตับ
- ระยะรุนแรง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักเกิน 30% ของตับ
ไขมันพอกตับส่วนใหญ่จะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อรักษาโรคอย่างอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยไขมันพอกตับในระยะแรกหรือแม้กระทั่งพัฒนาเป็นตับอักเสบหรือตับแข็งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แสดงอาการ
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
ไขมันพอกตับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มสุรา การสังเคราะห์ไขมันของตับผิดปกติ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ตับอักเสบจากไวรัส การขาดสารอาหาร ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การตั้งครรภ์ เป็นต้น
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
ผู้ป่วยไขมันพอกตับกว่า 50% ไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นไขมันพอกตับระยะแรก แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา ภาวะไขมันพอกตับก็จะรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ ดังนี้:
- รู้สึกอึดอัดหรือปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา
- เบื่ออาหาร รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย
- ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ
- อ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง
- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการดีซ่าน (ผิวเหลือง และตาเหลือง) หรือคลื่นไส้ อาเจียน
- ตรวจพบค่าเอ็นไซม์ตับ SGPT, SGOT สูงขึ้น (แสดงว่าตับมีการอักเสบ)
- ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
แต่อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงของไขมันพอกตับไม่อาจวัดด้วยระดับความรุนแรงหรือจำนวนมากน้อยของอาการ เนื่องจากบ่อยครั้งไขมันพอกตับจนเป็นตับแข็งแล้วผู้ป่วยก็ยังไม่รู้สึกมีอาการ
ไขมันพอกตับอันตรายเพียงใด
- ทำให้ตับทำงานผิดปกติ
ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกายและเป็นเสมือนโรงงานเคมีของร่างกายทำหน้าที่สำคัญหลายๆ อย่าง Si Ra Bo Do Ja Tu Sa Wo Sa To St Pa Pa Pa Pa Pa Pa No Br Ch Oa Am Da Tu Mo Bo Mi St Cu Cu Em Di Wu Ni Cu Th La Cu Cu No Ju Go He M Cu Am Am Fo Am Pa Me Me Bu Al Ip Vi Ch Tr Ni Fo Fi Mi Sa Ka Vi Ip We Cu A Sk We Co Fr Ty Wo Sa Fr To เช่น กักเก็บสารอาหารสังเคราะห์โปรตีน โคเลสเตอรอลและวิตามิน ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน ควบคุมการสันดาปของฮอร์โมน ผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดเมื่อผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บและกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ฯลฯ เมื่อมีเซลล์ไขมันจำนวนมากแทรกอยู่ในเซลล์ตับจะทำให้โครงสร้างภายในของตับแปรเปลี่ยนไปย่อมจะทำให้ตับทำงานผิดปกติและส่งผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย
- ส่งผลกระทบต่อผลการรักษาของโรคเรื้อรังต่างๆ
ไขมันพอกตับใช่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาเดี่ยวๆ หากแต่เป็นผลพวงของโรคประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ตับขาดสารอาหาร ตับอักเสบจากไวรัส เป็นต้น ผู้ป่วยไขมันพอกตับจึงมักอยู่คู่กับโรคเรื้อรังหลายอย่างเช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ เกาต์ นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น ไขมันพอกตับนอกจากไปเพิ่มความรุนแรงของโรคเรื้อรังเหล่านี้แล้ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาของโรคเรื้อรังเหล่านี้ไม่ดีเท่าที่ควรและยากต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับให้กลับสู่ภาวะปกติ
- อาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
หากไขมันพอกตับไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ ตับอักเสบและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
ยาลดไขมันในเลือดสูงส่งผลกระทบต่อไขมันพอกตับอย่างไร...
โคเลสเตอรอลในร่างกายคนเรา 80% ขึ้นไปสังเคราะห์จากตับ การใช้ยาแผนปัจจุบันเพื่อลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดเป็นประจำจะไปกดการทำงานของตับไม่ให้ปล่อยโคเลสเตอรอลเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ตับสำลักไขมันจนเกิดไขมันพอกตับได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดการใช้ยาเป็นอีกวิธีสำคัญวิธีหนึ่งในการป้องกันและบรรเทาภาวะไขมันพอกตับได้
การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...
การแพทย์จีนได้จัดไขมันพอกตับให้อยู่ในกลุ่มโรคของปวดแน่นชายโครง และระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันบกพร่อง ซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการรับประทานอาหารหวานๆ มันๆ และแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ตับที่ทำหน้าที่ในการระบายพลังชี่ และม้ามที่ทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหารผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของพลังชี่และของเหลวข้น (เสมหะหรือไขมัน) ในตับ ทำให้การไหลเวียนของพลังชี่และเลือดในตับติดขัดจนทำงานผิดปกติ Vo Do Ip Bu Vi To Sa Fr Ra Er Vi Ba Mi Ji So To Bu Br Sh Ma M Ta To La St Ji Ic No Ma Ra La Sp A Ob Lo Un Wi Wi Va Ro Do Sh Ra Al El Re Le El Al Bo Ma Bo Ra Pa Fe Mi Ar No Da G Ip Tu Bo Mi Tr Cu Cu Cu Cu Cu Cu Er โดยเฉพาะการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลนานวันเข้าก็จะกลายเป็นไขมันพอกตับในที่สุด
ถึงแม้ว่าพยาธิสภาพของไขมันพอกตับเกิดขึ้นที่ตับแต่จะส่งผลกระทบ
โดยตรงต่อการทำงานของม้าม ถุงน้ำดีและกระเพาะอาหาร การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีบำบัดแบบองค์รวมดังนี้:
- ระบายพลังชี่อั้นในตับ ทำให้พลังชี่และเลือดในตับไหลเวียนได้สะดวก ตับจึงกลับมาทำงานได้ปกติรวมทั้ง มีการสังเคราะห์ไขมันในปริมาณที่เหมาะสมด้วย
- ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของม้าม ทำให้มีการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันได้ดีไม่ให้เกิดการสะสมในตับ
ไขมันพอกตับจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด..
ไขมันพอกตับคืออะไร...
ไขมันพอกตับใช่ว่าจะมีไขมันพอกอยู่บนตับ หากแต่หมายถึง การสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ ทำให้ไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักเกิน 5% ของตับ ซึ่งจะทำให้ตับทำงานผิดปกติ ตับอักเสบและอาจพัฒนาเป็นตับแข็งในที่สุด ไขมันพอกตับสามารถแบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระยะ
- ระยะแรก: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักประมาณ 5-10% ของตับ
- ระยะกลาง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักประมาณ 10-25% ของตับ
- ระยะรุนแรง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักเกิน 30% ของตับ
ไขมันพอกตับส่วนใหญ่จะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อรักษาโรคอย่างอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยไขมันพอกตับในระยะแรกหรือแม้กระทั่งพัฒนาเป็นตับอักเสบหรือตับแข็งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แสดงอาการ
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
ไขมันพอกตับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มสุรา การสังเคราะห์ไขมันของตับผิดปกติ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ตับอักเสบจากไวรัส การขาดสารอาหาร ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การตั้งครรภ์ เป็นต้น
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
ผู้ป่วยไขมันพอกตับกว่า 50% ไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นไขมันพอกตับระยะแรก แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา ภาวะไขมันพอกตับก็จะรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ ดังนี้:
- รู้สึกอึดอัดหรือปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา
- เบื่ออาหาร รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย
- ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ
- อ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง
- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการดีซ่าน (ผิวเหลือง และตาเหลือง) หรือคลื่นไส้ อาเจียน
- ตรวจพบค่าเอ็นไซม์ตับ SGPT, SGOT สูงขึ้น (แสดงว่าตับมีการอักเสบ)
- ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
แต่อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงของไขมันพอกตับไม่อาจวัดด้วยระดับความรุนแรงหรือจำนวนมากน้อยของอาการ เนื่องจากบ่อยครั้งไขมันพอกตับจนเป็นตับแข็งแล้วผู้ป่วยก็ยังไม่รู้สึกมีอาการ
ไขมันพอกตับอันตรายเพียงใด
- ทำให้ตับทำงานผิดปกติ
ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกายและเป็นเสมือนโรงงานเคมีของร่างกายทำหน้าที่สำคัญหลายๆ อย่าง Si Ra Bo Do Ja Tu Sa Wo Sa To St Pa Pa Pa Pa Pa Pa No Br Ch Oa Am Da Tu Mo Bo Mi St Cu Cu Em Di Wu Ni Cu Th La Cu Cu No Ju Go He M Cu Am Am Fo Am Pa Me Me Bu Al Ip Vi Ch Tr Ni Fo Fi Mi Sa Ka Vi Ip We Cu A Sk We Co Fr Ty Wo Sa Fr To เช่น กักเก็บสารอาหารสังเคราะห์โปรตีน โคเลสเตอรอลและวิตามิน ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน ควบคุมการสันดาปของฮอร์โมน ผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดเมื่อผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บและกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ฯลฯ เมื่อมีเซลล์ไขมันจำนวนมากแทรกอยู่ในเซลล์ตับจะทำให้โครงสร้างภายในของตับแปรเปลี่ยนไปย่อมจะทำให้ตับทำงานผิดปกติและส่งผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย
- ส่งผลกระทบต่อผลการรักษาของโรคเรื้อรังต่างๆ
ไขมันพอกตับใช่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาเดี่ยวๆ หากแต่เป็นผลพวงของโรคประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ตับขาดสารอาหาร ตับอักเสบจากไวรัส เป็นต้น ผู้ป่วยไขมันพอกตับจึงมักอยู่คู่กับโรคเรื้อรังหลายอย่างเช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ เกาต์ นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น ไขมันพอกตับนอกจากไปเพิ่มความรุนแรงของโรคเรื้อรังเหล่านี้แล้ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาของโรคเรื้อรังเหล่านี้ไม่ดีเท่าที่ควรและยากต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับให้กลับสู่ภาวะปกติ
- อาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
หากไขมันพอกตับไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ ตับอักเสบและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
ยาลดไขมันในเลือดสูงส่งผลกระทบต่อไขมันพอกตับอย่างไร...
โคเลสเตอรอลในร่างกายคนเรา 80% ขึ้นไปสังเคราะห์จากตับ การใช้ยาแผนปัจจุบันเพื่อลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดเป็นประจำจะไปกดการทำงานของตับไม่ให้ปล่อยโคเลสเตอรอลเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ตับสำลักไขมันจนเกิดไขมันพอกตับได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดการใช้ยาเป็นอีกวิธีสำคัญวิธีหนึ่งในการป้องกันและบรรเทาภาวะไขมันพอกตับได้
การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...
การแพทย์จีนได้จัดไขมันพอกตับให้อยู่ในกลุ่มโรคของปวดแน่นชายโครง และระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันบกพร่อง ซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการรับประทานอาหารหวานๆ มันๆ และแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ตับที่ทำหน้าที่ในการระบายพลังชี่ และม้ามที่ทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหารผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของพลังชี่และของเหลวข้น (เสมหะหรือไขมัน) ในตับ ทำให้การไหลเวียนของพลังชี่และเลือดในตับติดขัดจนทำงานผิดปกติ Vo Do Ip Bu Vi To Sa Fr Ra Er Vi Ba Mi Ji So To Bu Br Sh Ma M Ta To La St Ji Ic No Ma Ra La Sp A Ob Lo Un Wi Wi Va Ro Do Sh Ra Al El Re Le El Al Bo Ma Bo Ra Pa Fe Mi Ar No Da G Ip Tu Bo Mi Tr Cu Cu Cu Cu Cu Cu Er โดยเฉพาะการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลนานวันเข้าก็จะกลายเป็นไขมันพอกตับในที่สุด
ถึงแม้ว่าพยาธิสภาพของไขมันพอกตับเกิดขึ้นที่ตับแต่จะส่งผลกระทบ
โดยตรงต่อการทำงานของม้าม ถุงน้ำดีและกระเพาะอาหาร การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีบำบัดแบบองค์รวมดังนี้:
- ระบายพลังชี่อั้นในตับ ทำให้พลังชี่และเลือดในตับไหลเวียนได้สะดวก ตับจึงกลับมาทำงานได้ปกติรวมทั้ง มีการสังเคราะห์ไขมันในปริมาณที่เหมาะสมด้วย
- ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของม้าม ทำให้มีการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันได้ดีไม่ให้เกิดการสะสมในตับ
ไขมันพอกตับจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด..
Subscribe to:
Posts (Atom)